รัฐบาลส่งสัญญาณแรง โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งหนังสือตรงถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นครั้งที่ 2 เร่งให้คำนึงถึงกรอบเงินเฟ้อ 1-3% พร้อมกระตุ้นการประสานกันระหว่าง นโยบายการเงินและการคลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ครม. มีความเห็นชัดเจนว่า “การเงิน-การคลังต้องเดินไปพร้อมกัน” ไม่ใช่เพียงแค่ภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงลำพัง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำมานานเกินไป
“ยอมรับว่า รัฐบาลคาดหวังว่าการประชุม กนง. วันที่ 26 ก.พ.นี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี”
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยต้องพิจารณาหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงตัวเลขเงินเฟ้อ แต่ต้องดูผลกระทบต่อ อัตราแลกเปลี่ยน การเติบโตของเศรษฐกิจ และสภาพคล่องในระบบ
“เงินเฟ้อไทยต่ำเกินไป” รัฐบาลกระทุ้ง ธปท. ปรับนโยบาย
นายเผ่าภูมิระบุว่า อัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำเกินไปมานาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ซึ่ง รัฐบาลต้องการให้ ธปท. ใช้นโยบายการเงินอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยให้ภาคการคลังทำงานขาเดียว
“ที่ผ่านมาเราชอบทำอะไรกันช้าไป แล้วมาทำกันทีหลัง ผลมันก็จะไม่ทันการ”
แม้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะแนะให้ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยไว้ เพื่อเก็บกระสุนรองรับความผันผวนในอนาคต แต่นายเผ่าภูมิยืนยันว่า “ช่องว่างนโยบายการเงินของไทยยังเหลือเฟือ” ไม่จำเป็นต้องรัดเข็มขัดมากเกินไป
ลดดอกเบี้ย = เงินไหลเข้า กระตุ้นเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อขยับ
นายเผ่าภูมิระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดีขึ้น และอาจช่วยดันอัตราเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
“การขยับดอกเบี้ยมีผลต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน การเคลื่อนตัวของเม็ดเงิน และการฟื้นตัวของตลาด”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของ กนง. แต่ยืนยันว่า นโยบายการเงินต้องสอดคล้องกับการคลัง เพื่อให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ