นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ถึงความวุ่นวายในสภาฯ จากการเสนอญัตติซ้อนญัตติ ระหว่าง “แผ่นดินไหว” กับ “กาสิโน” ว่า เหมือนแดจาวู เพราะบรรยากาศเช่นนี้เคยเกิดขึ้นในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย รวมถึงความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง แต่ล่าสุดบรรยากาศที่เดือดแต่ไม่ได้เดือดเพราะ สส. แต่เป็นเพราะการทำหน้าที่ของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแบบลุกลี้ลุกลน เหมือนมีข้อตกลงมาก่อนว่าจะทำอะไรในวาระของเพื่อไทย “ผมสงสัยว่าเป็นวาระของพรรคเพื่อไทยหรือวาระของ สทร.กันแน่ (ทักษิณใช้เรียกตัวเอง สทร. เสือกทุกเรื่อง) เพราะทุกคนกระตือรือร้นที่จะทำตามนายใหญ่ ทำให้บรรยากาศการประชุมสภาฯ ไม่ราบรื่น ประธานฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องแผ่นดินไหวอยู่ในความสนใจของสังคม ผู้นำฝ่ายค้านฯ เสนอก็ถูกแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยเอาวาระของตัวเองเป็นใหญ่ดันญัตติเลื่อนวาระการประชุมเรื่องกาสิโนมาก่อนเพื่อจะได้พิจารณาในวันที่ 9 เมษายน ถือว่าผิดกาลเทศะ แต่คนเป็นประธานต้องทำหน้าที่เป็นกลางสิ่งใดควรมาก่อนหลัง แต่กลับเอาใจพรรคเพื่อไทย พอถูกท้วงติงก็ถึงกับลุกขึ้นยืน ซึ่งมันเกินขอบเขต เพราะการลุกขึ้นยืนคือเตือนแล้วสมาชิกที่ทำผิดข้อบังคับไม่หยุด เมื่อไม่หยุดและสภาฯ อาจเสียหาย ประธานฯ ใช้อำนาจลุกขึ้นยืน แต่บรรยากาศที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย”
แดจาวูในสภาฯ การเมืองวนซ้ำฉากเดิม
สาทิตย์ วิเคราะห์ด้วยว่า สภาพการณ์เช่นนี้ย้อนรอยเกิดขึ้นทุกครั้งที่พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามามีอำนาจตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชนจนมาถึงเพื่อไทย “เขาใช้สภาฯ ฝ่ายบริหาร เป็นเครื่องมือไปถึงเป้าหมายและความต้องการของนายทุน ส่วนประธานสภาฯ ก็จะรับลูกคุมเกมในสภาฯ ยุคยิ่งลักษณ์ มี สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาฯ ก็ทำแบบนี้ปิดปากฝ่ายค้าน มาถึง ”วันนอร์“ ก็ปฏิบัติไม่แตกต่างกัน มันลุแก่อำนาจ แสดงให้ “กาสิโน” ลุกลี้ลุกลน มีผลประโยชน์เยอะขนาดที่ทำให้คนในสภาฯ ถึงกับยอมเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ศรีรองรับความต้องการของบางคน น่าเศร้ามาก” เขาบอกด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นชนวนที่ทำให้การประชุมนัดต่อไปจะเกิดลักษณะนี้อีก เพราะ “วันนอร์” ทำให้เห็นแล้วว่ามีปัญหาเรื่องความเป็นกลาง ยิ่งมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว ประธานฯ ไม่เป็นกลาง ปิดปากฝ่ายค้าน อาจจะเป็นชนวนที่สภาฯ วุ่นวายและมติที่ออกมาจะไม่มีความสง่างามเลย
หนุนฝ่ายค้านสู้เต็มที่ เตือนรัฐบาลเสี่ยงถูกสาปแช่ง
สำหรับร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร แท้จริงแล้วก็คือการ ”ตั้งบ่อนเสรี“ เพียงแต่ใช้ชื่อให้ดูดีเท่านั้น ”หลายสิบปีที่ผ่านมามีความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งในการผลักดันบ่อนเสรีมาโดยตลอด แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่เอาด้วย เพราะฟังเสียงประชาชน เนื่องจากเป็นเรื่องผิดในทางนโยบายอยู่แล้ว แต่เที่ยวนี้มีข่าวออกมาก่อนแล้วว่า สทร. ตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคแบ่งปันผลประโยชน์ แต่แทนที่จะทำตามขั้นตอนปกติ กลับไม่ปกติ เหมือนกับจะเอาให้ได้ และไม่กังวลแผ่นดินไหว อั๊วจะเอา เหมือนเห็นชัดว่ารัฐบาลที่มีดีลพิเศษหางจิ้งจอกโผล่ชัดเรื่องผลประโยชน์ สร้างกันกี่ที่แบ่งให้กลุ่มทุนกลุ่มไหน ใครเป็นคนจัดสรร ผิดทั้งหลักการ ผิดทั้งการท่องเที่ยวยั่งยืน และผิดเรื่องกระบวนการที่ไม่ปกติด้วย เสียดายผมไม่ได้อยู่ในสภาฯ ไม่อย่างนั้นสนุกแน่ แต่เอาใจช่วยพรรคประชาชนและพลังประชารัฐในฐานะฝ่ายค้าน หากทำหน้าที่ได้ดีก็จะถือเป็นตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง สมศักดิ์ศรีความเป็น สส. ตรงกันข้ามสส.รัฐบาลที่ทำตามนายทุนจะถูกประชาชนที่ไม่เอาอบายมุขสาปแช่ง“
ย้อนโมเดลทุนเป็นใหญ่ครอบงำ บริหาร-สภาฯ
สาทิตย์ ประเมินว่าสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลเร่งผลักดันกาสิโน อาจเป็นเพราะคาดว่ายิ่งปล่อยนานไปกระแสคัดค้านจะรุนแรงขึ้น จึงรีบปิดเกมเร็ว เมื่อไหร่ก็ตามที่สภาฯ มีเรื่องผลประโยชน์นายทุนเข้ามาเกี่ยวข้องจะพิสูจน์ศักดิ์ศรี สส. ประธานและรองประธานสภาฯ ถ้าสูญเสียความเป็นกลางประเทศเสียหาย สภาฯ เสียหาย และตัวเองก็เสียหายด้วย ”เสียงในสภาฯ อาจชนะ แต่อาจแพ้ความเคลื่อนไหวของประชาชนที่ตอนนี้น้ำเดือดแล้ว ชนวนถูกจุดแล้ว เสียงคัดค้านแรงขึ้นจากทุกภาคส่วน ซึ่งมีประวัติศาสตร์ให้เห็นแล้วจากกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ระบอบทักษิณผสมพันธุ์ข้ามขั้วกับฝ่ายที่เคยต่อต้านมาก่อน จึงทำให้มวลชนงุนงงสับสน แต่ดีลนี้โผล่หางเรื่องผลประโยชน์ที่ทำให้ประชาชนเห็นมากขึ้น สุดท้ายประชาชนก็จะทนไม่ได้กับสภาพที่เกิดขึ้น“
9 เม.ย. จับตาสภาฯ เดือด
สำหรับการประชุมสภาฯ วันที่ 9 เมษายนนั้น สาทิตย์ ก็เชื่อว่า ”เดือดแน่“ เพราะหน้าสภาฯ จะมีการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ไปปักหลักกดดันด้วย บรรยากาศในสภาฯ คงเข้มข้น ที่น่าสนใจคือวันที่ 10 เมษายนแพทยสภาจะมีการสรุปผลการสอบจรรยาบรรณแพทย์ ปมชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตรด้วย ”สถานการณ์จะถาโถมใส่รัฐบาล ดีกรีอารมณ์ประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้น“
ชลน่าน ตัวอย่าง “อุดมการณ์ล้มเหลว”
ส่วนกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุว่า “เสียงข้างมากถูกที่สุด” นั้น “สาทิตย์” สรุปว่า หมอชลน่านเป็นตัวอย่างความล้มเหลวในทางอุดมการณ์ เพราะเป็นคนละคนกับที่เคยสู้กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทำไมหลักการ หลักกูจึงเพี้ยนได้ขนาดนี้ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่แค่หมอชลน่านแต่เป็นโมเดลทักษิณที่ใช้มาตั้งแต่เป็นนายกฯ ต้องกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ใช้เสียงข้างมากตัดสิน ปิดปากฝ่ายค้าน แต่ต้องไม่ลืมว่าแม้มีเสียงมากถึง 377 เสียงแต่ก็อยู่ในอำนาจต่อไม่ได้ เพราะประชาชนหมดศรัทธา จากฟางเส้นสุดท้ายขายหุ้นชินฯ ไม่เสียภาษี
ดีลลับแบ็คดี…เอาไม่อยู่ อย่าประมาทพลังมวลชน
”ถ้ารัฐบาลยังดื้อ ดีลให้ตายก็เอาไม่อยู่ ถ้าคิดว่ามีแบ็คดี แต่สุดท้ายต้องไม่ลืมว่าประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง ขนาดทักษิณเคยมีสส.เกือบหมดสภาฯ เที่ยวนี้มาแบบกระจัดกระจายยิ่งแตกต่างจะย่ามใจคิดแบ่งเฉือนประเทศไม่ได้ ถึงที่สุดมีโอกาสที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ยังไม่คาดหวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนท่าที แต่ยังต้องติดตามต่อ รัฐบาลจะประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าคุมทุกอย่างได้หมดแล้ว“