เป็นความคืบหน้าหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI รับเหตุตึก สตง.ถล่มเป็นคดีพิเศษ โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บอกว่าได้ขยายการสอบสวนไปถึงการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ประเทศไทย จำกัด ว่าผู้ถือหุ้นคนไทยนั้นเป็นการถือหุ้นอำพรางหรือไม่ โดยไปที่บ้านนายประจวบ ที่ จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 102,000 หุ้น คิดเป็น 10.2% แต่ไม่พบตัว สอบสวนภรรยา ได้ความว่านายประจวบ ออกจากบ้านไป 2-3 วัน และทราบว่านายประจวบ มีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน จากทำงานรับจ้างก่อสร้าง นอกจากนี้ยังพบว่านายประจวบถือหุ้น นิติบุคคลอีก 10 บริษัท มีแนวโน้มว่าเป็นนอมีนี หรือการถือหุ้นอำพราง ส่วนผู้ถือหุ้นคนอื่นอยู่ระหว่างการติดตามตัว
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชี ยังพบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ตอนก่อตั้งมีผู้ถือหุ้น 3 คน เป็นนิติบุคคลก่อน ช่วงแรกนายมนัส ถือหุ้น 306,000 หุ้นจากนั้นโอนให้ นายโสภณ จนเหลือแค่ 3 หุ้น ส่วนนายโสภณ มี 407,997 หุ้น ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามว่าเป็นการโอนหุ้นแบบปกติหรือไม่ รวมถึงจะตรวจสอบว่า บุคคลทั้ง 3 ไม่เคยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง แต่กลับ เป็นผู้ถือหุ้นขนาดใหญ่ และรับงานภาครัฐได้อย่างไร จากตรวจสอบเจอทั้งหมด 29 โครงการ ทั่วประเทศ เป็นเงิน 22,000 ล้านบาท
ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า บริษัทไชน่าเรลเวย์ฯ อ้างตัวเป็นไทยแต่ไม่มีประสบการณ์และมาร่วมกับบริษัทไทย มาร่วมประมูล ซึ่งต้องตรวจสอบว่าคนไทยรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ และเอกสารมันเท็จหรือไม่ รวมถึงมุ่งประเด็นการทำกิจการร่วมค้ากับนิติบุคคลของไทย 11 บริษัท โดยเฉพาะตึก สตง. ที่มีบริษัท อิตาเลียนไทยเป็นกิจการร่วมค้าในการประมูลอาคารดังกล่าว โดยจะขอเวลา ประมาณ 2 เดือนตรวจสอบว่าเอกสารทั้งหมด รวมถึง 29 โครงการรัฐ อีกด้วย