จากคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” สะท้อนความล้มเหลวของวุฒิภาวะทางการเมือง ในวันที่ลูกสาวต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพราะคลิปหลุด
“เรื่องเฮงซวย” หรือ “วิกฤตจริยธรรมระดับผู้นำประเทศ”?
“…ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย อาสามาทำหน้าที่ ถ้าเขาไม่ให้ทำ ก็กลับไปเลี้ยงลูก”
ถ้อยคำนี้ของนายทักษิณ ชินวัตร บิดาของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากปมคลิปอังเคิล-หลานอิ๊งค์ ชวนให้ตั้งคำถามสำคัญว่า
เมื่อผู้นำครอบครัวการเมืองใหญ่สุดในไทย ดูแคลนศาลฯ สั่งพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย ทั้งที่ลูกสาวทำผิดระดับชาติ ยิ่งสะท้อนดีเอ็นเอที่ขาดจริยธรรม
“ตำแหน่งนายกฯ” ไม่ใช่มรดกที่ลูกอาสารับช่วง
การกล่าวว่า “อาสาทำหน้าที่ เขาไม่ให้ทำก็กลับไปเลี้ยงลูก” สะท้อนความ
ขาดสำนึกอย่างรุนแรงต่อปัญหาที่ลูกสาวสร้างขึ้น “ไม่รับผิด คิดแต่โทษคนอื่น” ทำท่าไม่ยี่หระต่อตำแหน่งนายกฯ ที่แพทองธารได้รับเลือก โดยผ่านการโหวตในรัฐสภา ก็หมายความว่าเธอ ได้รับอำนาจบริหารจากประชาชนทั้งประเทศผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่จากครอบครัวชินวัตร
คำพูดของผู้เป็นพ่อ กลายเป็นการลดทอนตำแหน่งผู้นำประเทศให้กลายเป็น ตำแหน่งที่ไร้คุณค่า ไม่ต่างจากการ บิดเบือนอำนาจอธิปไตยของประชาชน ให้กลายเป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูล
เมื่อการเมืองกลายเป็นของตระกูล ความรับผิดชอบก็หายไป
“ถ้าเขาไม่ให้ทำ ก็กลับไปเลี้ยงลูก”
คำพูดนี้ไม่เพียงลดทอนความร้ายแรงของคลิปหลุดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่ยังสื่อว่า หากตกเก้าอี้ ก็ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบต่อ
ในมุมนี้เองที่สะท้อนว่า ครอบครัวชินวัตรไม่ได้มองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็น “ความรับผิดชอบสูงสุดของรัฐ” แต่เป็นเพียง “พื้นที่ของครอบครัว” ที่จะอยู่ก็ได้ จะกลับบ้านก็ได้
ความเข้าใจเช่นนี้ทำลายหลักการสำคัญของรัฐสมัยใหม่ที่ว่า
“อำนาจเป็นของประชาชน และต้องใช้ภายใต้การตรวจสอบและความรับผิด”
และทักษิณอาจลืมไปว่า ความผิดพลาดของแพทองธารอาจไม่หยุดแค่พ้นตำแหน่ง เพราะใน ป.ป.ช.ยังมีการไต่สวนซึ่งหากชี้มูลว่ามีความผิดส่งศาลฎีกาตัดสินว่าผิดเหมือนกัน อาจนำไปสู่คดีอาญาตามมาด้วย
ใครเฮงซวย?
คำว่า “เฮงซวย” อาจสะท้อนอารมณ์ของพ่อที่ปกป้องลูก แต่สำหรับประชาชน มันคือการ เหยียดหยามระบบตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ
หากคำร้องของ ส.ว. ไม่มีมูลจริง ศาลรัฐธรรมนูญคงไม่สั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” การตัดสินของศาลชี้ว่า กรณีนี้มีน้ำหนักพอสมควร ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ และในฐานะอดีตนายกฯ ที่เคยมีประสบการณ์ยาวนาน ควรเคารพกลไกของรัฐ มากกว่าที่จะวิจารณ์อย่างปัดความผิด
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะในคดีทุจริตของตัวเอง “ทักษิณ” ก็ไม่เคยยอมรับ และยังมีชนักติดหลังเรื่องชั้น 14 ป่วยทิพย์ จนไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
ความเงียบของลูก กับการพูดแทนของพ่อ
อีกสิ่งที่สะท้อนปัญหาทางการเมืองเชิงโครงสร้างคือ แพทองธารแทบไม่ได้ออกมาพูดเองอย่างมีหลักการ แต่กลับปล่อยให้ “พ่อ” เป็นฝ่ายตอบโต้แทน
ทั้งที่ในฐานะผู้นำประเทศ เธอควรเป็นผู้แสดง “ภาวะผู้นำ” และ “ความรับผิดชอบ” อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่หลบอยู่หลังคำพูดของคนในครอบครัว เพราะนั่นยิ่งตอกย้ำภาพว่า…อำนาจที่เธอมีอยู่ ไม่ใช่ของเธอจริง ๆ — แต่เป็นของพ่อ
หากทักษิณต้องการเห็นลูกสาวก้าวสู่ความเป็นผู้นำจริง เขาต้อง ปล่อยให้ลูกรับผิดและพูดแทนตัวเองในวันที่พลาด ไม่ใช่ปกป้องด้วยอารมณ์ของพ่อที่ไม่ยอมให้ลูกโต เพราะประเทศไม่ใช่บ้าน และประชาชนไม่ใช่ลูกน้อง
วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของแพทองธาร — แต่คือเรื่องของวุฒิภาวะของผู้นำการเมืองไทย ในประเทศประชาธิปไตยที่แข็งแรง ไม่มีใคร “ทำหน้าที่แทนลูก” บนตำแหน่งนายกฯ ได้ และไม่มีใคร “พ้นตำแหน่งกลับบ้าน” ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดที่สะเทือนความมั่นคงของชาติ
หากประเทศไทยยังปล่อยให้ผู้นำมองอำนาจเป็น “สิ่งที่มอบให้ลูก–ส่งต่อได้ในครอบครัว”
เมื่อนั้นอำนาจก็จะไร้ความชอบธรรม และความพังพินาศจะเกิดกับประเทศ
#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#เที่ยงเปรี้ยงปร้าง#รัฐบาลแพทองธาร#คลิปเสียงสนทนาฮุนเซน#แพทองธารชินวัตร#ทักษิณชินวัตร#ชายแดนไทยกัมพูชา#ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา#จริยธรรมนายก#ภาวะผู้นำ#วิกฤตจริยธรรมผู้นำ

