Author: Writer Publisher

“อย่ามองว่าเป็นเวทีพิสูจน์ แพทองธาร เพราะเธอไม่มีอะไรให้พิสูจน์” เป็นคำพูดเข้ม ๆ ของ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกฎหมาย ที่กล่าวไว้ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร เขาไม่เพียงมาวิเคราะห์ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 24 มีนาคมนี้ แต่ยังชำแหละทุกมิติของเกมการเมืองที่เกิดขึ้น พร้อมตั้งคำถามที่ฝ่ายค้านต้องตอบให้ได้ “อย่ามองว่าเป็นเวทีพิสูจน์แพทองธาร เพราะเธอไม่มีอะไรให้พิสูจน์!” ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่เขาจะขยายความว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบ เพราะตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้เงาของพ่อ ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะพิสูจน์ตัวเองได้จริง “ไม่มีใครเห็นเลยว่าแพทองธารมีกระดูกสันหลังและมันสมองอยู่ที่ไหน เธอไม่เคยแสดงความเป็นผู้นำให้เห็นสักครั้ง อย่าหาว่าปรามาสหรือดูถูก แต่แพทองธารไม่มีอะไรต้องพิสูจน์จริง ๆ และคนในสังคมก็เชื่อว่าแพทองธารไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้“ รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว พร้อมแนะให้จับตาบทบาท ลูกน้อง ลิ่วล้อ หรืออาจเป็นถึงขั้นขี้ข้าของคนที่ภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร ว่าจะทำหน้าที่กันขนาดไหนในสภาฯ ปชน.ต้องเปลี่ยนเกม หยุดเสียเวลากับการพุ่งเป้าที่ ”ทักษิณ“ เขาอธิบายต่อว่า ในแง่ของเกมการเมือง พรรคประชาชนทำพลาดตั้งแต่ต้นที่ใส่ชื่อทักษิณในญัตติ เพราะมันเปิดช่องให้เพื่อไทยและประธานสภาฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการเบรกการอภิปราย ทั้งให้แก้ไขเนื้อหาญัตติ ทั้ง ๆ ที่ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามการเอ่ยถึงบุคคลภายนอก หากฝ่ายค้านอ่านเกมขาดจริง พวกเขาควรเลี่ยงการกล่าวถึงทักษิณโดยตรง แล้วหันไปใช้ข้อกฎหมายเป็นอาวุธแทน “คุณไม่ต้องพูดถึงทักษิณเลย แต่ให้ถามว่าแพทองธารถูกครอบงำหรือไม่? ครอบงำอย่างไร? ผิดกฎหมายข้อไหน? ทำชาติเสียหายอย่างไร? ” เขาเสนอแนวทางให้ฝ่ายค้านเดินเกมอย่างเฉียบขาด ด้วยการอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องเป็นอิสระ และพ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 28 และ 29 ที่ระบุว่า พรรคการเมืองจะให้บุคคลภายนอกครอบงำไม่ได้ “เมื่อทุกอย่างถูกอ้างอิงบนข้อกฎหมาย คนประท้วงก็ประท้วงไม่ได้ ประธานสภาฯ ก็สกัดไม่ได้ เพราะทุกคำพูดคือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เกมนี้ไม่ใช่แค่ศึกซักฟอกแพทองธาร แต่มันคือเวทีพิสูจน์พรรคประชาชน ว่าจะเป็นทางเลือกของประชาชนได้จริงหรือไม่?” ฝ่ายค้านต้องตีให้แตกว่าเพื่อไทยบริหารประเทศแบบ ‘ถูกครอบงำ’ รศ.ดร.เจษฎ์ อธิบายว่าหากอภิปรายให้ถูกจุด จะทำให้เพื่อไทยปฏิเสธไม่ได้ ชี้ให้ชัดว่า แพทองธารขาดอิสระทางตรง เพราะเธอไม่เคยคิดอะไรเองได้เลย ส่วน พรรคเพื่อไทยขาดอิสระทางอ้อม เพราะต้องเดินตามคนนอกที่ชี้นำ ทุกอย่างนำไปสู่การบริหารประเทศที่ล้มเหลว “พรรคประชาชนยังต้องทำมากกว่านั้น ต้องตีให้ชัดว่าเพื่อไทยต่างหากที่เป็นภัยต่อสถาบันฯ”…

Read More

เป็นอีกแนวคิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างบรรยายที่มหาวิทยาลัยพิษณุโลก เรื่อง “ประสบการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมวลชน” โดยบอกว่าเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีโอกาสคิดกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินประชาชน ก่อนบอกว่าได้คิดดังๆ ว่ารัฐบาลจะซื้อหนี้ทั้งหมด เอาหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อนหนี้ โดยอาจไม่ต้องชำระเต็มจำนวน แนวคิดนี้นายทักษิณระบุจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ยกหนี้เครดิตบูโรให้หมด แล้วทำมาหากินใหม่ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐ เพราะสามารถให้เอกชนลงทุน วันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะ จะขยับอะไรก็เป็นหนี้ทั้งหมด ฉะนั้นต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด สร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด ทักษิณยังพาดพิงธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยว่า วันนี้โอกาสของคนไทยลดลงไปเยอะ ธนาคารพาณิชย์ขี้เกียจแต่กำไรดี เพราะมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นพี่เลี้ยง เมื่อเงินเหลือก็ดูดออก ธนาคารพาณิชย์ก็ได้ดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต้องขวนขวายปล่อยกู้เอสเอ็มอีและรายย่อย กลายเป็นว่าสินเชื่อรถและสินเชื่อบ้านก็ไม่ปล่อย แล้วเศรษฐกิจจะอยู่อย่างไร พร้อมระบุรัฐบาลต้องหาทางเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ถึงจะไม่ใช่หน้าที่รัฐบาล แต่จำเป็นต้องทำ จำเป็นต้องปลดภาระให้ประชาชน ให้มีโอกาสใหม่ๆ แต่จะคว้าโอกาสไม่ได้เพราะหนี้ยังเต็มหลัง จึงต้องปลดหนี้ก่อน แล้วค่อยคว้าโอกาส นายทักษิณยังอธิบายด้วยว่าที่ผ่านมาโดนค่อนขอดว่าพูดแล้วทำไม่ได้ ทำไม่ตรงปก แต่ขอให้จดไว้เลยว่าทำได้ทุกอย่าง แต่เวลาอาจยืดออกไป เพราะเหตุการณ์เปลี่ยน เช่นดิจิทัลวอลเล็ต อีกไม่นานคนจะเข้าใจ ที่ตอนแรกวางระบบไว้อย่างดี ให้เศรษฐกินหมุนจากการใช้เงิน แต่แบงก์ชาติมาถึงเป่านกหวีดปี๊ด บอกต้องมีเงิน ต้องตั้งงบประมาณ สุดท้ายมันก็เลยผิดแผน จากนั้นได้พยายามปรับปรุงแก้ไขจนได้ แล้วต่อไปเทคโนโลยีวอลเล็ต จะเป็นกระเป๋าตังค์ประจำตัวทุกคน จะเติมเงินผ่านกระเป๋านี้ด้วยวิธีการต่างๆ กระเป๋าเงินดิจิทัลจะอยู่กับทุกคนตลอดชีวิต วันนี้คนยังมองไม่ออกก็ปล่อยเขาไป กำลังทำเรื่องทันสมัยและก้าวหน้า เพราะแบบโบราณเอาไม่อยู่จริงๆ “อยากบอกให้คนเสื้อแดงทั้งหลาย ไปบอกพรรคพวกว่า เรื่องปัญหาของประเทศ ผมรับไว้ และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กระบวนการแก้ปัญหาใช้เวลาและยากกว่าเดิม แต่ไม่เหนือความพยายาม ผมรับทุกข์ของประชาชนมาแบก เพราะพระเจ้าอยู่หัวเราเป็นพระผู้มีเมตตาสูงมาก ท่านทรงห่วงใยประชาชนตลอด ผมถวายงานท่านมา ตั้งแต่ยังไม่เป็นนักการเมือง ทราบดีว่าหัวใจท่านทรงเมตตากับประชาชนมาก ฉะนั้นผมจะทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง ท่านจะได้ไม่ต้องทุกข์พระทัย และต้องทำให้เข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ให้ได้” นายทักษิณกล่าว

Read More

ปปช.ภาค 4 ร่วมตำรวจ บุกจับอดีตนายก อบต. จังหวัดหนองบัวลำภู บุกรุกที่ดินรัฐกว่า 86 ไร่ อ้างสิทธิ์ถือครองโดยมิชอบ พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมายฐานบุกรุกที่ดินของรัฐโดยทุจริต จับคาหนังคาเขา! อดีตนายก อบต. บุกรุกที่ดินรัฐ อ้างสิทธิ์ครอบครองโดยมิชอบ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สนธิกำลังเข้าจับกุมอดีตนายก อบต. จังหวัดหนองบัวลำภู ฐานบุกรุกและอ้างสิทธิ์ครอบครองที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่กว่า 86 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต ป.ป.ช. ระบุว่า การตรวจสอบพบความผิดปกติในการครอบครองที่ดินของรัฐในพื้นที่หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นที่ดินที่ควรจะอยู่ในความดูแลของรัฐเพื่อใช้ประโยชน์สาธารณะ แต่กลับถูกบุคคลอ้างกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ เปิดพฤติการณ์ทุจริต อ้างเป็นที่ดินส่วนบุคคล – มีเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ จากการตรวจสอบพบว่า อดีตนายก อบต. รายนี้ได้พยายามออกเอกสารสิทธิ์โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย และมีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นจริงต่อหน่วยงานราชการ โดยพบว่า ที่ดินดังกล่าวมีมูลค่ากว่า 151 ล้านบาท โดยการบุกรุกดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนสถานะที่ดินรัฐเป็นที่ดินส่วนบุคคลเพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งในการตรวจสอบพื้นที่จริง เจ้าหน้าที่พบการปลูกพืชเชิงพาณิชย์และมีหลักฐานการครอบครองที่ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ลั่น! ต้องดำเนินคดีถึงที่สุด – ไม่ให้ที่ดินรัฐตกอยู่ในมือผู้มีอำนาจ สำนักงาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และจะมีการขยายผลสืบสวนไปยัง บุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกที่ดินของรัฐในลักษณะเดียวกัน โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเส้นทางการได้มาของที่ดิน และจะดำเนินคดีอาญากับทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยืนยันไม่ปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้ช่องโหว่กฎหมายฮุบที่ดินของรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และเตือนว่า ทุกกรณีการบุกรุกจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ที่ดินรัฐต้องเป็นของประชาชน #ปปชจัดการเด็ดขาด #หยุดโกงชาติ

Read More

“อย่าให้เรื่องผ่านไป…ปล่อยแบบนี้ไม่ได้” เป็นเสียงยืนยันของ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) กล่าวไว้ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร เขาไม่ได้มาพูดเรื่องคานถล่มที่พระราม 2 ครั้งนี้เป็นครั้งแรก…และแน่นอนว่า มันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย “คนตายแล้ว…เรื่องเงียบ” – วงจรอุบัติภัยไทยที่ไม่มีใครรับผิด “เราพูดกันมาตลอดว่า ต้องถอดบทเรียน แต่ถามหน่อย…บทเรียนอยู่ไหน? ใครเคยสรุป? ใครเคยรับผิดชอบ? ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุ ภาครัฐเชิญสภาวิศวกรไปดู แต่ไม่มีแม้แต่ ‘รายงาน’ สักแผ่นเดียวกลับมา ประเทศไทยแปลกมาก…พอมีคานถล่ม หน่วยงานที่เป็นเจ้าของโครงการเป็นคนสืบสวนตัวเอง ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน! เราไม่มีคนกลางในการตรวจสอบ ทุกอย่างผิดตั้งแต่ต้น คนผิดก็เลยไม่เคยรับผิด แล้วมันจะเข็ดหลาบได้ยังไง?” ศ.ดร.สุชัชวีร์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาออกมาแบบเป็นชุด พร้อมระบุว่า เขาเสนอมาแล้วหลายครั้งให้รัฐบาลถอดบทเรียนอย่างจริงจัง สุดท้ายมีแต่คำพูดแต่การถอดบทเรียนไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้คับแค้นใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น “คานถล่ม ไม่ใช่เรื่องฟ้าฝ่าหรือภัยธรรมชาติ – มันคือความประมาทที่ฆ่าคน” เมื่อถามถึงคำชี้แจงของ รมว.คมนาคม ที่ระบุว่า “ผู้เสียชีวิตเป็นเพียงคนงาน ไม่มีประชาชนได้รับผลกระทบ เพราะมีการปิดเส้นทางแล้ว” ศ.ดร.สุชัชวีร์ ถึงกับถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกชีวิตมีค่า อย่าคิดว่าเพราะเป็นคนงานแล้วจะไม่สำคัญ มันสะท้อนถึงความไม่ปลอดภัย อย่าลืมว่ามันอยู่ใกล้ตัวเราเข้ามาทุกวัน ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนงาน ผู้มีรายได้น้อยหรือจะเป็นใครก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น การก่อสร้างไม่ควรมีอุบัติเหตุแบบนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน มันควรที่จะปลอดภัย 100 %“ “ไม่มีใครเข็ด เพราะไม่มีใครต้องรับผิด” เขาอธิบายว่า สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซากแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือเรื่องของ ‘ความไม่รับผิดชอบ’ “ทุกครั้งที่เกิดเหตุ เราจะพูดว่า ‘ต้องสืบสวน’ แต่สุดท้ายอะไรเกิดขึ้น? คนผิดไม่มี คนรับผิดชอบไม่มี เรื่องก็เงียบ ในต่างประเทศ ถ้ามีโครงสร้างถล่ม ผู้รับเหมา วิศวกร ผู้ออกแบบ และผู้ควบคุมงาน อาจถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย แต่ว่าในประเทศไทย เราไม่เคยเห็นกระบวนการเหล่านี้ มันผิดตั้งแต่กระดุมเม็ดแรกกลัดผิดให้คนทำผิด มาสืบสวนตัวเอง! ไม่มีที่ไหนในโลกทำแบบนี้” “พอได้เวลาจะแก้ปัญหา เรากลับได้แค่ ‘สมุดพก’ ผู้รับเหมา” เมื่อถามถึงมาตรการของ รมว.คมนาคม…

Read More

สำนักงานศาลปกครองออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ยืนยันว่ามี ผู้สมัครสอบคัดเลือกตุลาการศาลปกครองชั้นต้นลักลอบนำเอกสารเข้าสอบ ณ ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ศาลปกครอง ชี้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงตัวบทกฎหมายทั่วไป ไม่ใช่แนวคำวินิจฉัยหรือคำตอบข้อสอบ แถลงการณ์ระบุว่า ระบบการออกข้อสอบของศาลปกครองมีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูง ข้อสอบจะถูกจัดทำในวันสอบ ผู้ออกข้อสอบและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถูกตัดการสื่อสารทุกช่องทางจนกว่าการสอบจะเสร็จสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อสอบรั่วไหล แฟนเพจดังแฉ! พ.ต.อ. ถูกจับได้คาห้องสอบ โพยเพียบ ก่อนหน้านี้ แฟนเพจ “บิ๊กเกรียน” ได้เผยแพร่คลิปและข้อความอ้างว่า ผู้สมัครสอบที่ถูกจับได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศ “พ.ต.อ.” และถูกเจ้าหน้าที่คุมสอบตรวจพบโพยในห้องสอบ ซึ่งกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น “หากมีตุลาการที่โกงข้อสอบตั้งแต่ต้น จะยังน่าเชื่อถือได้หรือไม่?” ข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการกฎหมาย เนื่องจาก ตำแหน่งตุลาการศาลปกครองเป็นหนึ่งในตำแหน่งสำคัญสูงสุดของกระบวนการยุติธรรม การที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงถูกกล่าวหาว่าโกงสอบ ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือกบุคลากรในศาลปกครอง โซเชียลเดือด! เรียกร้องให้เปิดชื่อ – ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด หลังข่าวแพร่กระจาย ชาวเน็ตจำนวนมากเรียกร้องให้ ศาลปกครองเปิดเผยรายชื่อผู้กระทำผิด และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยแสดงความคิดเห็นว่า• “ถ้าตุลาการยังโกงตั้งแต่สอบ ประเทศนี้จะเหลืออะไรให้เชื่อถือ?”• “ตำรวจก็โกง ศาลก็โกง แล้วประชาชนจะไปพึ่งใคร?”• “ไม่ใช่แค่ตัดสิทธิ์สอบ แต่ต้องดำเนินคดีอาญาด้วย” อนาคต พ.ต.อ. ผู้ถูกกล่าวหา – เสี่ยงวินัยร้ายแรง! แม้ศาลปกครองยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของผู้กระทำผิด แต่หากข้อกล่าวหานี้เป็นจริง ผู้สมัครสอบรายนี้อาจถูกตัดสิทธิ์สอบทันที และหากเป็นตำรวจจริง อาจเผชิญโทษวินัยร้ายแรง ซึ่งอาจรวมถึงการปลดออกจากราชการ ประชาชนจับตา: ศาลปกครองจะจริงจังหรือปล่อยเงียบ? สิ่งที่สังคมรอจับตาคือ ศาลปกครองจะดำเนินการอย่างจริงจังหรือไม่? หรือสุดท้ายเรื่องนี้จะเงียบหาย เพราะผู้เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ งานนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการทุจริตสอบ แต่เป็นบทพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยยังสามารถรักษาความยุติธรรมได้จริงหรือไม่

Read More

ถ้าพูดถึง “โจรขโมยปาล์ม” หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ขโมยแค่ผลผลิตในสวนชาวบ้าน แต่ถ้าบอกว่าโจรพวกนี้ขยันกว่าข้าราชการบางคนล่ะ? พวกมันทำงานเป็นระบบ ขโมยเป็นล่ำเป็นสัน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยที่เจ้าของสวนต้องนั่งกลืนน้ำลายเฝ้าดูผลผลิตตัวเองหายไป บางสวนถึงกับต้องวางเวรยามถือปืนเดินตรวจกันเอง ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐจะยังนั่งสบายใจ ไม่จับ ไม่แก้ ไม่ทำอะไรเลย อยู่แบบนี้จริง ๆ หรือ? ครูโค่นสวนปาล์มเพื่อหนีโจร – ระบบพังจนชาวบ้านถอดใจ กรณีของ “ครูสุรเดช” ครูในจังหวัดตรัง เป็นภาพสะท้อนปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน หลังจากถูกโจรขโมยผลปาล์มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายตัดสินใจ โค่นสวนปาล์ม 4 ไร่ของตัวเองทิ้ง เพราะทนไม่ได้ที่ต้องทำงานให้โจรฟรีๆ งานนี้ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ ลองคิดดูว่าต้องสิ้นหวังแค่ไหนถึงต้องตัดสินใจแบบนี้? สิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่าคือ นี่ไม่ใช่กรณีแรก และคงไม่ใช่กรณีสุดท้าย เพราะการขโมยปาล์มเป็น “อาชีพ” ที่เติบโตขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และดูเหมือนรัฐจะปล่อยให้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว โจรทำเป็นอุตสาหกรรม – เกษตรกรต้องจับปืนเดินเฝ้าสวน โจรขโมยปาล์มไม่ใช่แค่พวกมือสมัครเล่นปีนรั้วเข้าไปขโมยกลางดึก แต่พวกนี้คือ “มาเฟียสวนปาล์ม” ที่ขโมยกันแบบเป็นระบบ มีรถกระบะ มีคนรับซื้อ มีตลาดรองรับ และที่สำคัญคือ อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนรู้เห็น แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เกษตรกรหลายรายถึงขั้นต้องจัดเวรยาม เฝ้าสวนด้วยปืน เพราะถ้าไม่มีอาวุธ พวกโจรก็จะขโมยไปหน้าตาเฉย ประเทศนี้มันอยู่ยากขนาดที่ชาวบ้านต้องป้องกันทรัพย์สินตัวเองด้วยปืนแล้วเหรอ? รัฐขยันจับแต่ชาวบ้าน ขยันปรับแต่คนจน แต่ปล่อยโจรลอยนวล ปัญหาคือ เวลาชาวบ้านพยายามป้องกันตัวเอง กลับกลายเป็นว่าตำรวจเข้มงวดกับชาวบ้านมากกว่ากับโจรเสียอีก เช่น ถ้าเจ้าของสวนไล่ล่าออกนอกสวนเผลอทำร้ายโจร กลายเป็นว่าต้องติดคุกข้อหาทำร้ายร่างกาย ถ้าไปไล่จับเอง ตำรวจบอกว่าผิดกฎหมายฐานใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่พอโจรขโมยไป ตำรวจกลับบอกว่า “หลักฐานไม่เพียงพอ” ยังจับมือใครดมไม่ได้ เราจะปล่อยให้ “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ” จริง ๆ หรือ? เมื่อไหร่กันที่การขโมยปาล์มกลายเป็น “เรื่องปกติ”? เมื่อไหร่กันที่เกษตรกรต้องยอมรับว่าโจรมีสิทธิ์เอาผลผลิตไปได้โดยคนสุจริตต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม? ผู้ว่าฯ สั่งห้ามรับซื้อปาล์มเถื่อน – ฟังดูดี แต่ใครจะตรวจสอบ? ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกคำสั่งห้ามลานรับซื้อรับผลปาล์มที่มาจากการขโมย ฟังดูเหมือนจะเป็นมาตรการที่ดีใช่ไหม? แต่คำถามคือ ใครจะเป็นคนตรวจสอบ?• เจ้าของสวนไม่มีอำนาจตรวจสอบ• ลานรับซื้อไม่สนใจ เพราะไม่มีผลกระทบต่อตัวเอง• ตำรวจก็ยังเฉื่อยเหมือนเดิม แล้วแบบนี้คำสั่งนี้จะได้ผลแค่ไหน? หรือเป็นแค่การสร้างภาพให้ดูเหมือนรัฐกำลังทำงานเท่านั้น? ถ้าโจรขยันกว่าตำรวจ ประเทศนี้จะอยู่กันยังไง? สุดท้ายแล้ว…

Read More

ขอนแก่น – มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล เปิดรับสมัครผู้บริหารและกรรมการองค์กรไม่แสวงหากำไรเข้าร่วม “หลักสูตรการบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรตามหลักธรรมาภิบาล รุ่นที่ 6” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 เมษายน 2568 ณ โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จังหวัดขอนแก่น โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร? หลักสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับ ประธาน กรรมการ และผู้บริหารองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น สมาคม มูลนิธิ สถาบัน และธุรกิจเพื่อสังคม โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ด้านหลักธรรมาภิบาลเพื่อให้การบริหารองค์กรมีความโปร่งใสและยั่งยืน สิ่งที่ผู้เข้าอบรมจะได้รับ• ความรู้ด้านหลักธรรมาภิบาลในองค์กรไม่แสวงหากำไร• แนวทางบริหารองค์กรให้มีเสถียรภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน• เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของกรรมการและผู้บริหาร• การบริหารทรัพยากรทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ• การป้องกันความเสี่ยงและบริหารจัดการความขัดแย้ง หัวข้อการอบรมหลัก 8 หัวข้อ การบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรอย่างมีธรรมาภิบาล บทบาทกรรมการและผู้บริหารต่อองค์กร จริยธรรมและจรรยาบรรณในการบริหารองค์กร การบริหารจัดการการเงินเพื่อความโปร่งใส การสร้างระบบควบคุมและตรวจสอบภายใน กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงในองค์กร การระดมทุนอย่างยั่งยืน การบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ หลักสูตรนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาล อาทิ• นายกฤษฎา อุชุโกศลย์• ดร.บุญส่ง สิงห์เสน่ห์• ดร.ฐิตินันท์ อิทธิระวิชิต• ดร.ณัฐภัทร มิลล์ส รายละเอียดการอบรม• วันที่: 28-29 เมษายน 2568• เวลา: 8.30 – 16.30 น.• สถานที่: ห้องประชุมใหญ่ RPH ชั้น 13 โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จังหวัดขอนแก่น• ปิดรับสมัคร: 4 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมได้ที่ ลิงก์ลงทะเบียนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล หากคุณเป็นผู้นำองค์กรไม่แสวงหากำไรและต้องการพัฒนาองค์กรของคุณให้เติบโตอย่างมีธรรมาภิบาล อย่าพลาดโอกาสเข้าร่วมหลักสูตรนี้!

Read More

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยแนวทางการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญเพื่อลดปัญหาการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น และป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ปัญหาการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยา จากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. พบว่ามีการใช้สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการในลักษณะที่อาจไม่สมเหตุสมผล รวมถึงกรณีที่มีการจ่ายยาหรือเวชภัณฑ์เกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดภาระทางการเงินต่อภาครัฐ และอาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มบุคคล 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยา ที่อาจมีพฤติกรรมส่งเสริมการขายเกินควร บุคลากรทางการแพทย์ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ่ายยาที่ไม่จำเป็น ผู้มีสิทธิ์เบิกจ่าย ที่อาจใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ มาตรการที่ ป.ป.ช. เสนอ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ป.ป.ช. ได้กำหนดข้อเสนอแนะเชิงระบบและเชิงการบริหารจัดการ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเชิงระบบ• ผลักดันนโยบายส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (Rational Drug Use – RDU)• กำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด ห้ามมีเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง• พัฒนาระบบตรวจสอบข้อมูลยาแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ข้อเสนอแนะเชิงการบริหารจัดการ• บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่มีพฤติกรรมทุจริต• ให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติตามหลักจริยธรรม• สร้างระบบติดตามและควบคุมการใช้สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ แนวทางการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช. ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม และลดช่องว่างของการใช้สิทธิ์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ป.ป.ช. ยืนยันว่าจะเดินหน้าผลักดันมาตรการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐ แต่ยังช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการทุจริตเบิกจ่ายยาครั้งมโหฬารทำอย่างเป็นระบบที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 600 คน

Read More

กรุงเทพฯ – สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่บนถนนพระราม 2 ผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊ก ระบุว่า แม้โครงการจะแล้วเสร็จ แต่ยังมี “โอกาสถล่มลงมาได้ในอนาคต” เนื่องจากปัจจัยด้านโลกร้อน น้ำทะเลหนุน และแผ่นดินทรุดตัว ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างถนนพระราม 2 แผ่นดินทรุดตัวต่อเนื่อง – พื้นที่ถนนพระราม 2 เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ดินบริเวณนี้เป็นดินเหนียวอ่อนนุ่ม ซึ่งทรุดตัวโดยธรรมชาติทุกปี ประมาณ 1-2 เซนติเมตร หรือในบางพื้นที่อาจทรุดได้ถึง 1-2 นิ้วต่อปี โดยเฉพาะในเขตบางนา บางกะปิ มีนบุรี และสมุทรสาคร โลกร้อนทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้น – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นปีละ 5.8 มิลลิเมตร และคาดว่าที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 0.39 ม. ในปี 2573, 0.73 ม. ในปี 2593 และ 1.68 ม. ในปี 2643 ซึ่งจะทำให้ดินอ่อนตัวและน้ำอาจท่วมขังใต้ดิน แรงกดจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ – หากถนนพระราม 2 ต้องรองรับโครงสร้างขนาดใหญ่และเกิดแรงกดทับจากทางยกระดับและทางด่วนในอนาคต อาจทำให้เกิดการทรุดตัวของดินเร็วขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่โครงสร้างจะพังถล่มลงมา โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่บนถนนพระราม 2 ปัจจุบันมี 3 โครงการหลักที่กำลังก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ได้แก่ โครงการทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 (สายธนบุรี-ปากท่อ) ตอนบางขุนเทียน-เอกชัย โดยกรมทางหลวง โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว) ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว โดยกรมทางหลวง โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกฯ โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) คาดว่าจะเปิดทดลองใช้ในปี 2568 นักวิชาการแนะต้องประเมินความเสี่ยงรอบด้าน สนธิ คชวัฒน์ เตือนว่า “ต้องมีการประเมินผลกระทบทางวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมให้รอบคอบก่อนการก่อสร้าง” และต้องนำปัจจัยด้านโลกร้อน ภัยพิบัติ และสภาพดินอ่อนในพื้นที่มาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อป้องกันปัญหาถนนทรุดตัวและความเสี่ยงต่อโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมที่เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งนี้…

Read More

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามนี้หลังไม่เข้าใจการตัดสินใจของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยบอกแปลกใจที่อนุญาตให้พรรคฝ่ายค้าน ใช้คำว่า สทร. ในญัตติแทนชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในการอภิปรายจะใช้คำย่อหรือคำเต็มคือเสือกทุกเรื่อง และหากผู้อภิปรายพูดคำเต็มว่า นางสาวแพทองธาร ถูกครอบงำและบงการโดยนายเสือกทุกเรื่อง จะมีการประท้วงว่าผิดข้อบังคับการประชุม ในการใช้คำเสียดสีอีกหรือไม่ เมื่อประธานสภาฯ อนุญาตให้ใช้คำว่า สทร. หรือเสือกทุกเรื่องได้ ก็ต้องรับประกันว่าจะไม่มี สส.ฝ่ายรัฐบาลหรือองครักษ์ประท้วงเมื่อมีผู้อภิปรายใช้คำนี้เด็ดขาด ทั้งนี้เมื่อประเด็นเรื่องการใส่ชื่อนายทักษิณลงไปในญัตติเคลียร์กันได้แล้ว ยังคงเหลือเรื่องจำนวนวันเวลาการอภิปรายฯ ที่ฝ่ายค้านยืนยันที่ 30 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาลจะให้ 20 ชั่วโมง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติได้ง่ายๆ หากจะให้วิป 3 ฝ่ายตกลงกันเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก จึงขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะประธานสภาฯ ไกล่เกลี่ยและตัดสินใจกำหนดวันอภิปรายที่เหมาะสม ถ้าหากไม่ทำหน้าที่นี้ ปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่ายถกเถียงกันไม่ได้ข้อยุติ ก็ไม่รู้ว่า “มีประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้ทำไม”

Read More