Browsing: News

ทวงสัญญา “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ของพรรคภูมิใจไทย หลังผ่านไปสองปี ยังไม่มีใครเห็นแผงโซลาร์ หรือมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าตามที่ประกาศ โปสเตอร์สีน้ำเงินสดใสของพรรคภูมิใจไทยเคยประกาศนโยบายพลังงานสะอาดไว้ชัดเจนว่า: “ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้าหลังคาเรือนละ 450 บาท”“มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 งวด” แต่วันนี้ผ่านมาแล้ว สองปีเต็ม หลังการเลือกตั้ง ปี 2566…นโยบายที่เคยขายฝันให้ประชาชน “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ยังไร้เงาไม่มีโครงการโซลาร์ฟรีบนหลังคาไม่มีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่อน 100 บาทไม่มีแม้แต่ “เครดิตพลังงาน” ที่เคยอ้างว่าจะให้ใช้แทนค่าไฟ ทั้งที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ก็นั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุมทั้ง กฟผ. กฟภ. และ กฟน.มีอำนาจในมือ แต่กลับไม่มีนโยบายใดขยับออกมาอย่างเป็นรูปธรรม——-รสนา ขยี้นโยบาย: “พูดแล้วทำ…จะทำกี่โมง?” คุณ รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. และประธานอนุกรรมการด้านพลังงานฯ สภาผู้บริโภค ออกโรงทวงถามเช่นกันว่าหาก “พูดแล้วทำ” จริง รัฐมนตรีมหาดไทยก็สามารถ “สั่งการได้ทันที” อย่างน้อย 2 แนวทางที่ไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว: เปิดทาง Net Meteringให้ประชาชนที่ติดโซลาร์บนหลังคาสามารถหักลบหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้กับหน่วยที่ใช้ เช่น ผลิตได้ 100 หน่วย ใช้ 200 หน่วย ก็จ่ายแค่ 100 หน่วยที่เกิน“นโยบายนี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท แค่สั่ง กฟน. กับ กฟภ. ให้ดำเนินการ” เปิดทาง Net Billingให้ กฟน. และ กฟภ. รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากโซลาร์บนหลังคาประชาชนขนาด 5–10 kW ตามราคาที่รัฐกำหนดทั้งช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และลดภาระการผลิตไฟฟ้าของรัฐเอง——จากคำพูด…ถึงความเงียบ ประชาชนที่เลือกพรรคภูมิใจไทยเพราะเชื่อว่า “พูดแล้วทำ”วันนี้เริ่มตั้งคำถามว่า หรือเป็นเพียง “พูดแล้วเงียบ?” เพราะสิ่งที่เห็น คือ– ค่าไฟยังสูง– โซลาร์หลังคายังต้องควักเงินเอง– รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในราคาประชาชนไม่มีจริง– แม้แต่การเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนก็ยังติดล็อกระบบราชการและผลประโยชน์กลุ่มทุน และหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคุมหน่วยงานด้านไฟฟ้าทั้งระบบ ไม่สามารถเริ่มจาก…

Read More

นายเชาว์ มีขวด ทนายความชื่อดัง โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง ความเห็นต่อบทบาทผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช กรณี สส.กร่างกลางงานบวช มีเนื้อหาระบุว่า คดีรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ที่โยงถึงนักการเมืองระดับชาติและเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วประเทศ วันนี้กลายเป็น “เรื่องของสื่อ” กดดันจนตำรวจอยู่นิ่งไม่ได้ แต่ยัง ไม่เคยเป็นเรื่องของผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายสมชาย ลีหล้าน้อย ในฐานะผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช มีหน้าที่ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มีอำนาจกำกับฝ่ายปกครอง และขับเคลื่อนนโยบายความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ แต่เงียบมาตลอดนับแต่มีข่าวจนถึงวันนี้ ไม่มีแถลงการณ์ ไม่มีคำชี้แจง ไม่มีแม้แต่ “คำพูดปลอบใจ” ต่อประชาชนในพื้นที่ ที่รู้สึกว่าอิทธิพลความรุนแรง และความอยุติธรรม กำลังเป็นภัยคุกคามใกล้ตัว ทั้ง ๆ ที่คดีนี้ไม่ได้เกิดในที่ลับ แต่มันเกิด “กลางงานบวช” ท่ามกลางสายตาชาวบ้านนับร้อยคน และเมื่อประชาชนถูกทำร้ายในงานบุญ แล้วฝ่ายปกครองเงียบเสียเอง ชาวบ้านจะไปพึ่งใคร? “ผมขอกระทุ้งไปยังท่านผู้ว่าฯ ถึงเวลาหรือยัง…ที่จะ “ยืนข้างประชาชน” และประกาศให้รู้ว่า ความสงบสุขของจังหวัดจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ คนที่มีหน้าที่ ทำหน้าที่ของตัวเอง อย่าปล่อยให้อำนาจ อิทธิพลบดขยี้ประชาชน” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย

Read More

แพทย์เชียงใหม่รุ่น 15 หนุนมติแพทยสภา วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 – กลุ่มแพทย์เชียงใหม่ รุ่น 15 ออกแถลงการณ์สนับสนุนมติของคณะกรรมการแพทยสภา ที่ได้มีมติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักโทษชั้น 14 ที่อยู่ในการควบคุมของโรงพยาบาลตำรวจ โดยมติดังกล่าวประกอบด้วย การว่ากล่าวตักเตือน 1 ราย และการพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมชั่วคราวอีก 2 ราย กลุ่มแพทย์ฯ ระบุว่า การลงโทษนี้สะท้อนถึงความกล้าหาญของแพทยสภาในการรักษาหลักจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ เป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคมและวงการแพทย์ กังวลการแทรกแซงทางการเมือง กลุ่มแพทย์ฯ แสดงความกังวลต่อกระแสข่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดำรงตำแหน่งสภานายกพิเศษ อาจใช้สิทธิ์วีโต้เพื่อล้มมติเดิมของคณะกรรมการ หากเกิดการวีโต้จริง จะต้องมีการลงมติใหม่ โดยต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 47 จาก 70 เสียง จึงจะสามารถยืนยันมติเดิมได้ กลุ่มแพทย์ฯ จึงขอเรียกร้องให้กรรมการทุกท่านยืนหยัดในมติเดิม และไม่ยอมให้อิทธิพลใด ๆ มาแทรกแซงหลักการแห่งวิชาชีพ “เนื่องจากมีข่าวลือว่ามีการล็อบบี้คณะกรรมการแพทยสภาบางคน ทำให้เกิดความวิตกจากแพทย์และคนทั่วไปที่ติดตามเรื่องนี้ ถ้ามติออกมาค้านกับมติเดิมอาจทำให้เกิดความแตกแยกในวงการแพทย์ และเกียรติยศศักดิ์ศรีของสภาวิชาชีพ” ศิษย์เก่าแพทย์ทั่วประเทศร่วมลงชื่อหนุนมติ นอกจากนี้ยังมีแถลงการณ์ของศิษย์เก่าแพทย์จากหลายสถาบัน เช่น ศิริราช รุ่น 82 และรามา 7 ล่าสุดยังมีแถลงการณ์จากแพทย์รามา 1-2 รวมถึงแพทย์ทั่วประเทศกว่า 70 รายชื่อ ที่ร่วมแสดงจุดยืนสนับสนุนแพทยสภา และเรียกร้องให้ผดุงความยุติธรรม จริยธรรมและความถูกต้อง รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของแพทย์ไทยทั่วประเทศ

Read More

วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พร้อมสำเนาถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง “ปัญหากฎหมายกรณีรัฐบาลออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token)” โดยระบุความเป็นห่วงว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อฐานะการคลัง และการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศในอนาคต ยืนยัน พ.ร.บ.หนี้สาธารณะไม่รองรับ “โทเคนดิจิทัล” นายธีระชัยระบุว่า พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ไม่ได้รองรับโทเคนดิจิทัล ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งจะระบุว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทําเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” แต่ไม่สามารถตีความรวมถึงโทเคนดิจิทัลได้ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2548 ยังไม่มีบิตคอยน์และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติคำว่า “โทเคนดิจิทัล” ขึ้นนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการใช้ในภาคเอกชน มิใช่เพื่อบริหารหนี้สาธารณะ เตือน G-Token เสี่ยงเข้าข่าย “เงินตรา” ผิด พ.ร.บ.เงินตรา นายธีระชัยให้ความเห็นว่า G-Token อาจมีลักษณะเข้าข่าย “เงินตรา” ตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันว่า G-Token ไม่ได้มีสถานะเป็นเงิน แต่พฤติกรรมของประชาชนอาจทำให้มัน “กลายเป็นเงิน” ในทางปฏิบัติ เพราะ• ผู้ถือเชื่อมั่นในเครดิตของกระทรวงการคลัง• สามารถนำไปแลกเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นได้• มีแนวโน้มถูกใช้ชำระหนี้ระหว่างกัน ดังนั้น จึงอาจกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และเข้าข่ายฝ่าฝืน พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 10 ซึ่งให้อำนาจเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดการธนบัตร ห่วงรัฐบาลใช้ G-Token “เสมือนพิมพ์เงิน” แก้ขาดดุลงบฯ นายธีระชัยระบุว่า หากรัฐบาลสามารถออกสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะคล้ายเงินเพื่ออุดช่องว่างงบประมาณที่ขาดดุล จะกระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพระบบการเงินไทยในสายตาระดับนานาชาติอย่างรุนแรง “รัฐบาลจะสามารถดำเนินการเสมือนหนึ่งพิมพ์เงินตราเองได้หรือไม่? ถ้าใช่…เสถียรภาพของระบบการเงินไทยจะถูกตั้งคำถามจากทั่วโลก” ย้ำปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แจ้งเพื่อประโยชน์สาธารณะ ท้ายจดหมาย นายธีระชัยระบุว่า การแจ้งข้อมูลครั้งนี้เป็นการปฏิบัติตาม มาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติพร้อมเรียกร้องให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนออกประกาศรองรับ G-Token อย่างเป็นทางการ

Read More

จากกรณี อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินวัดไปเล่นบาคาร่าออนไลน์ สูญเงินกว่า 300 ล้านบาท สะเทือนวงการสงฆ์และส่งผลกระทบต่อจิตศรัทธาของผู้คนไม่น้อย ล่าสุด “ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค” นักแต่งเพลงชาวไทย โพสต์ข้อความสะท้อนภาพวงการผ้าเหลือง ระบุข้อความว่า “มันน่าประหลาดใจแกมเศร้านะแม่ประไพ…. ตั้งแต่เด็ก..ต้องแย่งกันสอบเข้าอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย… จบมาก็ต้องวิ่งหางานทำ…ร้อยเอาหนึ่ง พันเอาหนึ่ง ฯลฯ ไปเกเรเกตุง หรือไม่เอาดีอะไรเลยสักอย่าง… ไปท่องคำขอบวชพระ….เข้าโบสถ์ มีอุปัชฌาย์ใจดีบวชให้… ท่องไม่ครบ…พระคู่สวดก็บอกบทให้ได้… เอนทรานซ์เป็นพระนี่ง่ายกว่าเอนทรานซ์เข้าอนุบาล…. “มนุสโสสิ….” อุปัชฌาย์ถามตามบทว่า จะมาบวชนี่ เป็นคนหรือเปล่า….เพราะในสมัยพุทธกาล มีพญานาคใฝ่ธรรมอย่างสูง อยากขอบวช…ก็บวชไม่ได้…. พญานาคนั้นก็ได้แต่รับศีลรับธรรมไปตามสถานะ…. แต่ก็ได้รับเกียรติอย่างสูง…ว่า ต่อไปใครจะบวช…ให้ถือว่าเป็นนาค ทุกวันนี้.. “มนุสโสสิ”….ก็ต้องตอบปกติไปว่า “ อามะภัณเต​ ” ผมเป็นคนครับ… แต่บางที หลายคน ควรจะตอบไปตามจริงของตัวเองว่า “ นัตถิ ภัณเต “… มีคดี หนีปัญหา ติดยา ไม่เรียนหนังสือ….. แก้ปัญหาด้วยการ…บวช….ไม่เรียน… ที่หนักกว่านั้นคือ…บวชเรียนสูงด้วย แต่ไม่พ้นแม้แต่ความดีของ ”พญานาค“ สมัยพุทธกาลนั้น… ที่ปวดใจ คือ มนุสผู้ผ่านเอนทรานซ์เมื่อกี้ อาจจะเพิ่งโดดถีบเพื่อนในวงเหล้าเมื่อคืน….ได้ห่มเหลืองสดๆเมื่อกี้… คนที่ไม่ได้ห่มเหลือง ต้องกราบ…. พ่อแม่ต้องกราบนะ….. ที่ปวดใจที่สุดคือ พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องกราบไหว้….ไอ้เบื๊อกเมื่อวานซืน ผ่านเอนทรานซ์การบวชมาห่มเหลืองวันนี้…. ฉันพูดได้…เพราะฉันก็ผ่านเอนทรานซ์ภิกษุมาแล้ว…. ยอมรับเลยว่า….ผ้าเหลืองย้อมใจคนเกเรให้กลับมาดีได้ไม่น้อย แต่ไม่อาจย้อมใจคนที่ห่วยกว่า พญานาค ให้ดีขึ้นได้เลย… ฉันก็ไม่รู้ว่าจะสังคายนายังไงกัน… ภิกษุสมัยนี้ ควรต้องเป็นอย่างไร… เล่นโซเชียลได้ไหม….สำหรับฉัน ถ้าเป็นคอนเทนต์เผยแพร่สัจธรรมของพระศาสดา ก็ไม่แปลก….พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยใช้ใบไม้เปรียบเทียบสอนสาวก…ตอนนั้นท่านยังไม่มีไอแผด…. ฝากถึงคนที่รับผิดชอบดูแลศาสนาพุทธในเมืองไทยด้วย… คนทั้งชาติ กราบพระบาทในหลวง…. แต่ในหลวงกราบไหว้พระสงฆ์นะครับ…”

Read More

เพจ “ดาวแปดแฉก” โพสต์เรื่องนี้โดยระบุ ด่วน ! ศาลออกหมายจับ “เปรมชัย” เศรษฐีคนดัง และบุคคลรวม 17 คน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 และมาตรา 238 กรณีอาคารก่อสร้าง สตง.ถล่ม ทั้งนี้มีรายงานว่าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้ตั้งแต่การเริ่มทำ TOR และสัญญาจ้างต่างๆ รวมไปถึงพยานวัตถุชิ้นส่วนกว่า 300 ชิ้นและผลการตรวจสอบการออกแบบ จากผู้เชี่ยวชาญมาประกอบสำนวนคดี ก่อนพิจารณากลุ่มบุคคลที่พบการกระทำความผิดเป็นเหตุให้อาคาร สตง. ถล่ม และขออนุมัติศาลออกหมายจับดังกล่าว โดย 17 ราย ใน 3 กลุ่ม บริษัทเอกชน คือ บริษัทกิจการร่วมค้า กลุ่มผู้รับเหมาควบคุมงาน และกลุ่มวิศวกรที่เซ็นรับรองออกแบบ แก้แบบ จัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงนายเปรมชัย กรรณสูต ที่เคยถูกจำคุกคดีเสือดำ และนายชวน หลิง จาง ในฐานความผิดตาม ม.227 และ ม.238 ผู้ใดเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบควบคุมหรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆ เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย มีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ส่วนในล็อต 2 คาดว่าจะเป็นกลุ่มข้าราชการในอาคาร สตง.

Read More

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ความเห็นเกี่ยวกับการออก “G-Token” ของรัฐบาลผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยตั้งคำถามถึงความจำเป็น เหตุผล และความเสี่ยงของการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อระดมทุนจากประชาชนแทนการออกพันธบัตรตามรูปแบบเดิม นายกรณ์ระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลสามารถกู้จากประชาชนได้อยู่แล้วผ่านการขายพันธบัตรในแอป “เป๋าตัง” ซึ่งประชาชนกว่า 40 ล้านคนมีอยู่ในโทรศัพท์มือถือ โดยเริ่มต้นลงทุนเพียง 100 บาท สามารถขายต่อได้ ต้นทุนของรัฐบาลต่ำ และเป็นช่องทางที่สะดวกอย่างมาก “ไม่น่าจะมีช่องทางไหนที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้อีกแล้ว” เขากล่าว ดังนั้นการออก G-Token ซึ่งเป็นการ “tokenise พันธบัตร” หรือการแปลงพันธบัตรเป็นเหรียญดิจิทัลบนระบบบล็อกเชน จึงไม่ใช่สิ่งใหม่มากนัก แต่สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือ ทำไมรัฐบาลเลือกจะทำในเวลานี้ และมีมาตรการควบคุมเพียงพอหรือไม่ แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องกฎหมาย นายกรณ์ให้ความเห็นว่า “กฎหมายไม่ได้เขียนรองรับโดยตรง เพราะตอนร่างกฎหมายยังไม่มีคริปโต” แต่ในมุมของเขา “ไม่เห็นว่าทำไมจะทำไม่ได้” ตราบใดที่ G-Token ยังมีสถานะเหมือนพันธบัตร ซื้อขายได้ แต่ใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือการที่ G-Token มีลักษณะเป็นเหรียญคริปโต อาจนำไปสู่การนำไปใช้จ่ายแทนเงินได้ง่ายขึ้น ซึ่งต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้ “กลายเป็นเงินบาททางอ้อม” หรือ “เงินประเภทใหม่ที่รัฐบาลออกเองโดยมีการค้ำประกัน” “ต้องฟังความเห็นของแบงก์ชาติในประเด็นนี้” เขาเน้นย้ำ นายกรณ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า การเข้าถึง G-Token โดยประชาชนไม่ได้สะดวกกว่าการซื้อพันธบัตรผ่านแอปเป๋าตัง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มี digital wallet มากเท่ากับเป๋าตัง เมื่อถามว่ารัฐบาลทำไปเพื่ออะไร เขาเชื่อว่าเหตุผลหลักคือ การเพิ่มความนิยมใน digital asset ในประเทศไทย ซึ่งกลุ่ม exchange เช่น Bitkub หรือ Binance จะได้ประโยชน์ เพราะมี “สินค้าใหม่ในตลาด” มากขึ้น “รัฐบาลก่อนหน้านี้อยากให้ประชาชนมีแอปเป๋าตัง รัฐบาลนี้อยากให้มี digital wallet” เขากล่าว “มีแล้วประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร อันนี้ผมไม่แน่ใจ” นายกรณ์กล่าวปิดท้าย โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาคิดได้จากข้อมูลที่ปรากฏ

Read More

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำเชิญของนายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2568 เพื่อหารือเรื่องพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและ สปป.ลาว ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ของสองประเทศ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง และจะพบปะกับ นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ด้วย ในการพบหารือกับ นายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ และคณะ เพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงที่ทำไว้ระหว่างไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุนของบริษัท EGATi หรือ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทในกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เน้นลงทุนใน สปป.ลาว จากเดิมที่ลงทุนหลากหลายประเทศและหลายธุรกิจ เนื่องจากประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการลงทุนร่วมกันระหว่าง กฟผ. และ สปป.ลาวโดยตรง แทนที่จะซื้อจากเอกชนจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และทำให้ประเทศไทยได้ไฟฟ้าสะอาดและราคาต้นทุนที่ถูกลงเพราะเป็นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจของไทยเองและเหมือนซื้อไฟฟ้าจากตัวเอง

Read More

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ สว.และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีในส่วนที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI โดยบอกต้องเคารพคำสั่งศาล และถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ อีกทั้งรัฐมนตรีก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าว รวมถึงการรับพิจารณาคำร้องของ สว.ดังกล่าวไม่ได้ทำให้กระบวนการดำเนินคดีของ DSI หยุดชะงัก หรือกระทบกรอบเวลาทำคดีแต่อย่างใด ทั้งนี้ พันตำรวจเอกทวีบอกจะพิจารณาคำร้องของ สว.อย่างละเอียด และเตรียมทำคำชี้แจงภายใน 15 วัน โดยมั่นใจสามารถชี้แจงกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะได้ทำหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมาย และไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำคดีของ DSI แต่อย่างใด จึงไม่ได้กังวลอะไร เพราะไม่ได้แทรกแซงองค์กรอื่นตามคำร้องดังกล่าว

Read More

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมาย และอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ มองอีกมุมกับกรณีมติแพทยสภาปมเทวดาชั้น 14 โดยขึ้นหัวข้อโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “หรือจะกลายเป็นเตะหมูเข้าปากหมา” โดยเริ่มจากที่หลายคนกังวลใจว่า สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา (รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข) จะยับยั้งมติของแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์จำนวน 3 คน กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจหรือไม่ แต่เรื่องนี้นายนิพิฏฐ์บอกลืมไปได้เลย ยับยั้งก็ช่าง ไม่ยับยั้งก็ช่าง จะไปสนใจทำไม เหตุผลที่นายนิพิฏฐ์บอกก็คือ การยับยั้งหรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมติของแพทยสภา พูดตามภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ ก็เปรียบเหมือนการลงโทษทางวินัยของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม อาจยกเว้นโทษ หรือ เห็นด้วยกับการลงโทษทางวินัยตามมติของแพทยสภา ก็ได้ แต่ที่สำคัญ คือ มิได้ยกเลิก“ข้อเท็จจริง” ตามมติของแพทยสภา ที่มีมติว่า แพทย์บางคนมีความเห็นให้ส่งนายทักษิณไป โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่จะตรวจร่างกายคุณทักษิณ ส่วนแพทย์บางคนก็มีความเห็นโดยไม่มีข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่าคุณทักษิณป่วยวิกฤติ ถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน “ข้อเท็จจริงว่าคุณทักษิณ “ป่วยทิพย์” ยังคงมีอยู่ตามมติของแพทยสภา แต่ที่ผมชวนให้ติดตามต่อ คือ 1.หนี หรือ ยอมติดคุก 2.ถ้ายอมติดคุก อย่าลืมว่า มีระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ปี 2566 ให้คุมขังนอกเรือนจำได้ อาจกลายเป็นว่า ให้คุมขังคุณทักษิณ ไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นเวลา 180 วัน ที่ต่อสู้กันมาก็กลายเป็น เตะหมูเข้าปากหมา ไปซะอีก เฮ้อ!!!! นี่แหละประเทศไทยของคุณ” นายนิพิฏฐ์โพสต์ทิ้งท้าย

Read More