เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 36 คน ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยศาลมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งด้วย
.
ประเด็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและการโต้แย้งของผู้ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญยืนยันอำนาจในการวินิจฉัยคดีนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ซึ่งให้อำนาจศาลพิจารณาว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ กรณีนี้ไม่ใช่การตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามทั่วไป แต่เป็นการพิจารณาการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในบริบทการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ศาลชี้ว่าอำนาจของศาลจำกัดเฉพาะการวินิจฉัยตามคำร้อง ไม่รวมถึงข้อกล่าวหาอื่นที่ไม่ได้ระบุ
.
ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) โต้แย้งว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะเป็นการกระทำของฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภา และเคยมีคำวินิจฉัยในอดีตที่ศาลไม่แทรกแซงการใช้อำนาจบริหาร นอกจากนี้ ยังอ้างว่าหลักฐานคลิปเสียงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบันทึกผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าตนมีอำนาจค้นหาความจริงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และคลิปเสียงดังกล่าวประกอบกับพยานหลักฐานอื่น เช่น การสัมภาษณ์สื่อมวลชน จึงรับไว้พิจารณาได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายห้ามนำหลักฐานดังกล่าวมาแสดง และผู้ถูกร้องไม่ได้โต้แย้งความถูกต้องของเนื้อหาในคลิป
.
การตีความคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” และมาตรฐานจริยธรรม ศาลอธิบายว่าคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5) หมายถึงการประพฤติตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่คดโกงหรือทรยศ ซึ่งเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่บุคคลทั่วไปและโดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หลักการนี้ไม่ใช่เพียงเรียกร้องให้รัฐมนตรีมีคุณธรรมส่วนตัวเท่านั้น แต่ต้องแสดงออกให้สังคมรับรู้และประจักษ์ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีพฤติกรรมเสื่อมเสียเข้ามาปฏิบัติหน้าที่รัฐ ศาลเน้นว่าคุณธรรมดังกล่าวต้องยึดถือไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใด และต้องพิจารณาจากสัดส่วนของการกระทำที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ชาติ
.
นอกจากนี้ มาตรฐานจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) ต้องสูงกว่าสำหรับรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร ต้องปกป้องดินแดน ศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของประเทศ การบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการติดต่อกับต่างประเทศ
.
ข้อเท็จจริงจากคลิปเสียงและบริบทการสนทนาจากคลิปเสียง ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่าการสนทนาเกิดขึ้นในช่วงความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีปิดด่านชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมเด็จฮุน เซน แสดงจุดยืนกดดันและเรียกร้องให้เปิดด่าน รวมถึงเรียกแรงงานกัมพูชากลับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับมติ RBC ผู้ถูกร้องไม่ได้ยอมรับข้อเสนอที่อาจทำลายประเทศไทย และยึดถือผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง โดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเปิด-ปิดด่านจริง
.
อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการสนทนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเปิดด่านชายแดน การกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโทบุญสิน) เป็นการใช้เทคนิคเจรจาเพื่อแยกปัญหาออกจากบุคคล แต่กลับตำหนิแม่ทัพฯ ว่า “พูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ” ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งข้างทางความคิด สร้างความไม่เอกภาพในกองทัพ แสดงความอ่อนแอ และเปิดช่องให้กัมพูชาแทรกแซงกิจการภายในของไทย
.
ศาลชี้ว่าผู้ถูกร้องใช้ทั้งช่องทางทางการและไม่ทางการในการเจรจา โดยรู้ดีว่าสมเด็จฮุน เซน ไม่มีตำแหน่งผูกพันรัฐบาลกัมพูชา แต่ยังใช้คำพูดเช่น “อยากได้อะไรให้บอก” ซึ่งแสดงท่าทีจำนนล่วงหน้า ขอความเห็นใจ และเปิดช่องให้ข้อเรียกร้องจากกัมพูชา การกระทำดังกล่าวขาดความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น คะแนนนิยมและเสถียรภาพรัฐบาล มากกว่าความมั่นคงของชาติ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาและเสื่อมเสียเกียรติภูมิของประเทศไทย
.
เหตุผลที่ถือว่าฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงศาลเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความระมัดระวัง ขัดต่อหน้าที่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ที่ต้องคำนึงถึงกรอบจริยธรรม แม้จะอ้างว่าเป็นเทคนิคเจรจา แต่ไม่สามารถกระทำตามอำเภอใจ โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงและความใกล้ชิดกับต่างชาติ การแสดงท่าทีอ่อนแอและจำนนล่วงหน้า ทำให้เสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศ ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
.
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อกล่าวหาอื่น และมีมติให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้สิ้นสุดลงทั้งคณะ ศาลเน้นว่าคำวินิจฉัยนี้เพื่อรักษาคุณธรรมและความเป็นธรรมในระบบราชการไทย
.
#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#แพทองธารชินวัตร#รัฐบาลแพทองธาร

