“กัมพูชาอาจเสียทหารสูงสุด 3,000 นาย
แต่รัฐปิดเงียบ เพราะผู้นำอยู่ได้ด้วยภาพวีรบุรุษ ไม่ใช่ความจริง”
— พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
——————
สูญเสียจริง…แต่ปิดเงียบ
“ถ้าคนกัมพูชารู้ว่าเขา รบแพ้ เสียทหารมาก ฮุน มาเนตจะอยู่ไม่ได้”
พล.ท.พงศกร รอดชมภู สรุปภาพสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างไม่อ้อมค้อม พร้อมประเมินว่าในการสู้รบ 5 วันที่ผ่านมา
“ทหารกัมพูชาเสียชีวิตต่ำสุดประมาณ 1,000 นาย สูงสุดอาจมากถึง 3,000 นาย”
แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่มีวันยอมรับตัวเลขเหล่านี้ เพราะการสร้างเรื่องราวว่าฮุน มาเนต เป็นวีรบุรุษผู้กล้าเผชิญหน้าไทย คือสิ่งที่ใช้ “ต่ออายุสร้างความมั่นคงทางอำนาจ” ไม่ใช่แค่ชิงพื้นที่ แต่เพื่อปักหมุดผู้นำให้มั่นคงในประเทศที่ยังไม่เคยผ่านการเลือกตั้งแบบเสรีจริงจัง
“ระบอบแบบนี้อยู่ได้ด้วยภาพบารมี ไม่ใช่ความจริง ถ้าภาพฮุน มาเนตรบแพ้ หมดบารมี การเมืองภายในจะปั่นป่วน”
—————-
ไทยได้เปรียบในสนามรบ
แม้หยุดยิงแล้ว แต่ในสนามจริง พล.ท.พงศกรระบุว่า กองทัพไทย “ได้พื้นที่คืน” มากกว่าก่อนการสู้รบ
“เราผลักดันทหารกัมพูชาที่ตรึงกำลังอยู่ออกไปได้เป็นส่วนใหญ่ ปราสาทตาควายไม่จำเป็นต้องยึด เพราะมันแค่สิ่งปลูกสร้าง สิ่งสำคัญคือการได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฝ่ายไทยได้เปรียบมากกว่า คือ “หลักฐาน” ว่ากัมพูชาใช้ ทุ่นระเบิดใหม่ วางรอบปราสาท ซึ่งละเมิด ข้อตกลงออตตาวา ที่ห้ามใช้กับระเบิดสังหารบุคคล และมีทหารไทยบาดเจ็บจริง พร้อมพยานหลักฐานครบ
“ญี่ปุ่นที่เป็นประธานอนุสัญญาออตตาวาคงไม่พอใจแน่ และนี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ควรนำขึ้นเวทีโลก”
——————
สมรภูมิข่าวสาร: ไทยแพ้
สนามรบเราชนะ แต่สมรภูมิข่าวสารกลับตรงข้าม — แพ้โดยสิ้นเชิง
“เราตั้งรับตลอด ไม่เคยชิงพื้นที่ข่าว ไม่มีข้อมูลเชิงลึกให้ต่างชาติอ้างอิง กัมพูชาเขาเล่นข่าวทุกวัน แต่เรากลับกลัวที่จะใช้ความจริงเปิดเผยความรุนแรงที่เขาทำ เช่น ยิงพลเรือน ยิงโรงเรียน โจมตีวัด ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม”
พงศกรเสนอว่าไทยควร เลิกตั้งรับ แล้วเปิดเกมรุกด้วยการส่งข้อมูลให้สื่อโลก ให้คนไทยได้แชร์สิ่งที่รัฐสื่อสารอย่างมีระบบ พร้อมนำทูตต่างชาติเยี่ยมพื้นที่จริง
“ถ้าอยากให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการประชุม GBC 4 ส.ค. ต้องทำให้สังคมโลกเห็นว่าเราไม่ได้เป็นผู้รุกราน แต่เป็นผู้ถูกกระทำ และเขาทำผิดกติกาสากล”
—————-
สมรภูมิไซเบอร์ใต้ดิน: ต้อง “ตัดไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต”
อีกหนึ่งแนวรบสำคัญคือ “ไซเบอร์ IO” ซึ่งกัมพูชาจัดเป็นระบบ มีทั้งการปล่อยข้อมูลเท็จผ่าน AI, เครือข่ายต่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของชาวกัมพูชาในต่างแดน รวมถึงการสร้างชุดข้อมูลความจริงเพื่อให้ผู้ที่มีใจสนับสนุนประเทศไทยนำไปใช้ต่อได้โดยง่าย จะทำให้การสื่อสารในโลกไซเบอร์มีพลังมากขึ้น
พล.ท. พงศกรเสนอว่าไทยควรร่วมมือกับสหรัฐฯ เรื่องฟอกเงิน และร่วมมือกับจีนเพื่อจัดการ “สแกมเมอร์” ให้ถุงเงินของกัมพูชาแห้ง โดยเฉพาะการ ตัดไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต ที่เชื่อว่าจะเริ่มเร็ว ๆ นี้
พร้อมเตือนให้จับตา “ความไม่จงรักภักดี” ของกัมพูชาต่อจีนที่ช่วยมานาน แต่กลับหันไปหาสหรัฐฯ ท่ามกลางเกมถ่วงดุลในทะเลจีนใต้
“สุดท้ายคนที่ไม่จงรักภักดีกับใครเลย จะไม่มีใครคบ — มีแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น ไม่มีพันธมิตรระยะยาว เป็นเกมที่กัมพูชามีความเสี่ยงมาก”
————-
ประชุม GBC ที่มาเลเซีย: โชคดีที่ยังเปลี่ยนทัน
การย้ายสถานที่ประชุม GBC จากกัมพูชาไปมาเลเซีย ถูกมองว่าไทย “เกือบพลาด” เพราะความฉุกละหุกในการตัดสินใจ
“คุณภูมิธรรมดูเหมือนเมาหมัด ขณะที่กัมพูชาเหมือนวางแผนไว้หมดแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนสถานที่ทัน เราจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
แม้ในเวทีมาเลเซียจะมีจีน-สหรัฐ-มาเลเซียร่วมสังเกตการณ์ แต่พล.ท. พงศกรไม่กังวล เพราะไม่ได้มีสิทธิตัดสินอะไร
สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ถอยจากพื้นที่ที่ได้เปรียบ ต้องมีการถอนกำลังหลักออกจากพื้นที่เหลือแต่กำลังประจำถิ่น เปิดโอกาสให้ประชาชนได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
“เวทีที่มาเลเซียในการเจรจาหยุดยิงคุณภูมิธรรมสุภาพเกินไป ต้องก้าวร้าวกว่านี้ มาเลเซียเป็นประเทศเล็กกว่าเรา แต่กลับไม่ได้รับเกียรติเท่าที่ควร ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ใช่ผู้นำตัวจริง”
——————
ข้อเสนอสุดท้าย: สร้างแนวร่วมจากประชาชนเขมร
ท้ายสุด พล.ท.พงศกรเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงภายในกัมพูชาอาจต้องเริ่มจาก “แรงกระเพื่อมของประชาชน” ที่เริ่มไม่เชื่อในผู้นำ
“คนไทยต้องเอาชาวกัมพูชาเป็นพวก เปิดเผยความจริงให้เขารู้ เพราะถ้าประชาชนเขาเริ่มสงสัยว่า ฮุน มาเนต ไม่มีฝีมือ ไม่มีบารมี การเมืองภายในเขาจะสั่นคลอนเอง”
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เที่ยงเปรี้ยงปร้าง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย #TruthFromThailand #ละเมิดหยุดยิง #อาชญากรสงคราม #ประณามกัมพูชา

