“ระวังศึกใหม่กัมพูชา – อย่าปล่อยให้การเมืองอ่อนแอซ้ำเติมสนามรบ”
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
————
“เรากำลังเผชิญศึกซ้อนศึก — ศึกนอกคือกัมพูชา ศึกในคือไส้ศึก และที่น่ากลัวที่สุดคือรัฐบาลที่ไร้วุฒิภาวะ”
— สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา
สมชาย แสวงการ อดีต ส.ว. และอดีตนักข่าวสงคราม กล่าวในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา และการประชุม GBC ระหว่างวันที่ 4–7 ส.ค.นี้ว่า
ขณะนี้ไทยยังไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตัวจริง โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ต้องรักษาการแทน ท่ามกลางข่าวว่าอาจมีบางฝ่ายจงใจให้ไทยอ่อนแอ ขณะที่ฝั่งกัมพูชา รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ “เตีย เซรยฮา” ลูกชายของเตีย บัญ ก็มีท่าทีแข่งอำนาจกับฮุน มาเนต ผู้นำคนปัจจุบัน
“จีบีซีครั้งนี้อาจถูกแทรกแซงจากต่างชาติ ทั้งมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน — อย่าให้การเจรจาทวิภาคีกลายเป็นเวทีพหุภาคีตามที่กัมพูชาต้องการ เพราะเบื้องหลังคือผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยนับสิบล้านล้านบาท ที่มีความพยายามยกแปลงสัมปทานให้ต่างชาติ มีข่าวว่ากลุ่มฮุน เซน มีการรับค่านายหน้าไปแล้ว 5 พันล้านยูเอส”
————
“หยุดยิงเที่ยงคืน 28 ก.ค. — ทำให้เราเสียพื้นที่ยุทธศาสตร์”
สมชายระบุว่า การหยุดยิงที่เกิดขึ้นกลางดึก 28 ก.ค. เป็นคำสั่งการเมืองที่ทำให้กองทัพไทยไม่สามารถครอบครองพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ได้ทันเวลา โดยเฉพาะปราสาทตาควายที่กลายเป็น “จุดบอด” แม้จะยึดภูมะเขือ ช่องจอม ช่องอานม้าคืนมาได้
“การรบในปี 2554 หยุดไป 14 ปี กัมพูชาถึงกล้ารบใหม่ในปีนี้ แต่ครั้งนี้เขาเตรียมการเร็วกว่าเดิม — ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ รอบใหม่อาจเกิดในสามหรือสี่สัปดาห์หลังจากนี้ ด้วยกำลังที่ฟื้นและอาวุธพร้อมกับพิกัดที่เขารู้แล้ว เราจะเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม”
————
“ตีงูต้องตีให้ตาย — ไม่เช่นนั้นงูจะย้อนแว้งกัด”
สมชายเปรียบสถานการณ์ว่า “ตอนนี้เราเหมือนตีงูได้แค่หาง งูยังไม่ตาย” พร้อมเปิดเผยข้อมูลข่าวกรองว่า กัมพูชายังมีกำลังรบครบมือ ทั้งจรวดพิสัย 130 กม. 6 ลูก, เครื่องบิน J-10 ที่กำลังฝึกนักบิน, และโดรนทิ้งระเบิด
“เราต้องปกป้องอธิปไตย ไม่ใช่คลั่งสงคราม แต่ต้องไม่ปล่อยให้ข้าศึกมีศักยภาพโจมตีพลเรือนไทยได้อีก การยิง BM-21 ใส่โรงพยาบาลควรส่งเรื่องถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ — แต่รัฐบาลไม่ทำ”
————
“ศึกนอกยังพอรับมือ — แต่ศึกในต้องเร่งจัดการ”
สมชายระบุว่า ปัญหาใหญ่ของไทยไม่ใช่แค่ศึกนอก แต่คือ “ไส้ศึกในประเทศ” โดยเฉพาะความอ่อนแอของรัฐบาลที่เขามองว่า “จงใจให้ประเทศเสียเปรียบ” ทั้งที่ข้าราชการด้านความมั่นคงยังเข้มแข็ง
“เราต้องให้กำลังใจทหาร ไม่ใช่ให้รัฐบาลไร้วุฒิภาวะมาบั่นทอนความมั่นคง โดยเฉพาะผู้นำที่กำลังมีคดีอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญจากคลิปสนทนา ‘อังเคิล-หลานอิ๊งค์’ ที่ชัดเจนว่าผิดกฎหมายอาญาหมวดความมั่นคง”
สมชายเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่ต้องไต่สวนเพิ่มเติม เพราะคลิปปรากฏชัดอยู่แล้ว พร้อมฝากถึง ป.ป.ช.ให้ส่งคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองโดยเร็ว
————
“รัฐบาลอ่อนแอ คือจุดอ่อนของสงคราม”
สมชายระบุว่า หากปล่อยให้แพทองธารดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมต่อไป แม้จะหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ กลับพบร่องรอยการใช้อำนาจเหมือนนายกรัฐมนตรี เป็นอันตรายต่อความมั่นคง เพราะ “ผู้นำที่ถูกกัมพูชาแบล็กเมล์” มองทหารเป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่น่าไว้วางใจ
พร้อมกันนี้ ยังเปิดเผยว่ากลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” เตรียมยกระดับชุมนุมประชิดทำเนียบรัฐบาล และได้ส่งมอบโดรนลาดตระเวนกับรถแบ็กโฮสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 เรียบร้อยแล้ว
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand

