
ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปรากฏรอยร้าวของปัญหาคอร์รัปชันและคุณภาพที่ถูกมองข้ามมาอย่างยาวนาน ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันท์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยข้อมูลสุดช็อกจากการลงพื้นที่ของ “ชุดตรวจการสุดซอย” ที่เผยให้เห็นถึงขบวนการผลิต “เหล็กเบา-เหล็กตกเกรด” และการลักลอบนำเข้า “ขยะพิษ” ที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมอุตสาหกรรมไทยมาตั้งแต่ปี 2562 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลกว่า 28,000 ล้านบาทต่อปี!
“เหล็กปลอม” ภัยเงียบใต้โครงสร้าง: พบความผิดปกติจากโรงงานเดียวซ้ำซาก

ฐิติภัสร์ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบที่น่าตกใจว่า “เราตรวจพบว่าเหล็กไซส์ 20 มม. ตกในเรื่องของมวลต่อเมตร หรือเป็นเหล็กเบา ไม่เป็นมาตรฐาน และไซส์ 32 มม. ก็ตกในค่า Yield (แรงดึง) เป็นเรื่องของแรงดึงเน้นเลยว่าตก 2 ตัว เป็นของบริษัทเดียวกัน” นี่ไม่ใช่แค่ความบกพร่อง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่ชี้ให้เห็นถึงการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการรายเดิม “ตกใจเหมือนกันว่าทำไมเราปล่อยให้โรงงานแบบนี้ฝ่าฝืนมาตั้งแต่ปี 2562” เธอกล่าว
การเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของ นายเอกนัส พร้อมพันธ์ ได้นำมาซึ่งนโยบายเชิงรุก โดยมีการแต่งตั้งนางฐิติภัสร์เป็นหัวหน้าคณะทำงานฯ พร้อมจัดตั้ง “ชุดตรวจการสุดซอย” เพื่อลงพื้นที่รับฟังปัญหาและตรวจสอบโรงงานที่สร้างมลพิษและผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นนโยบายที่เน้นย้ำใน 3 ผลิตภัณฑ์สำคัญ ได้แก่ เหล็ก สายไฟ และยางรถยนต์

ขยะพิษลักลอบนำเข้า: มลพิษที่ถูก “สำแดงเท็จ” และฝังกลบในไทย
นอกจากการตรวจสอบคุณภาพเหล็ก ชุดตรวจการสุดซอยยังได้ขยายผลไปสู่การตรวจสอบการนำเข้าขยะพิษ โดยพบหลักฐานชัดเจนถึง วัตถุอันตรายกว่า 8,000 ตัน ในพื้นที่โรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการ “สำแดงเท็จ” เป็น “Mix Metal” หรือ “เศษโลหะ” ในการนำเข้าผ่านพิธีศุลกากร แต่เมื่อตรวจสอบจริงกลับพบว่าเป็นแผ่น PCB, เศษสายไฟที่ติดมากับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้ว หรือก็คือ “ขยะอันตราย” นั่นเอง
“วันนั้น เราพบทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การนำเข้า เอามาคัดแยกเศษทองแดง เอามาล่อนจนเหลือทองแดงมีมูลค่าส่งออกไปต่างประเทศ แต่เศษพลาสติก คุณฝังและทิ้งไว้ในที่ดินในประเทศไทย มีการปล่อยน้ำเสียลงไปในพื้นที่” นางฐิติภัสร์กล่าวอย่างเปิดเผย สิ่งที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมานานกำลังถูกชุดตรวจการสุดซอยเปิดเผยอย่างหมดเปลือก
ตึกถล่มสะท้อนปัญหา: สู่การกวาดล้างโรงงานเหล็กจากเตา IF ทั่วประเทศ

ปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเหล็ก ไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ โรงงาน “ซินเคอ หยวน” เคยถูกสั่งปิดไปตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อนจากเหตุแก๊สระเบิด และเมื่อเก็บตัวอย่างเหล็กมาตรวจก็พบว่าไม่ได้มาตรฐานเช่นกัน เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐมนตรีเอกนัส สั่งการให้มีการตรวจสอบโรงงานเหล็กจาก “เตา IF (Induction Furnace)” ทั่วประเทศ เพื่อสรุปว่ากระบวนการผลิตจากเตาชนิดนี้มีปัญหาจริงหรือไม่
ปัจจุบัน ชุดตรวจการสุดซอยได้เข้าตรวจสอบโรงงานเหล็กจากเตา IF แล้ว รวม 11 แห่ง และจากการรายงานล่าสุด พบว่า 7 ใน 11 โรงงาน มีผลิตภัณฑ์เหล็กตกคุณภาพและตกเกรด ซึ่งทางชุดฯ ได้ทำการอายัดเหล็กของกลางไว้ทั้งหมด และอยู่ระหว่างการทบทวนมาตรฐาน มก. สำหรับเหล็กที่ผลิตจากเตาหลอม IF
ความเสียหาย 28,000 ล้านบาท/ปี และมาตรการเด็ดขาด: “ไม่รื้อขึ้นมาวันนี้ มันก็อยู่แบบนี้”

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานสูงถึง 28,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงผลกระทบอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของโครงสร้างประเทศและเศรษฐกิจโดยรวม
สำหรับเหล็กของกลางที่ถูกยึดอายัดไว้ จะถูกซีลและบันทึกบัญชีอายัดอย่างเข้มงวด หากมีการเคลื่อนย้ายหรือทำให้หายไป โรงงานจะถูกดำเนินคดีอาญา โทษจำคุกรวม 5 ปี ที่สำคัญคือ เหล็กทั้งหมดที่อายัดจะถูกส่งไปทำลายด้วยการหลอมใหม่ทั้งหมด และไม่สามารถนำกลับมาขายในท้องตลาดได้อีก!
ชุดตรวจการสุดซอย ซึ่งมีฐิติภัสร์เป็นประธานคณะกรรมการ โดยมีทั้งผู้ตรวจราชการ รองอธิบดีจากกรมต่าง ๆ ผู้แทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และที่สำคัญคือ ตัวแทนจากมูลนิธิบูรณนิเวศ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ขับเคลื่อนการต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการทำงานร่วมกับสื่อมวลชนและภาคประชาชน ยืนยันถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการทำงานทุกขั้นตอน
ตรวจสอบ “สุดซอย” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่ขุดลึกถึงต้นตอ
ฐิติภัสร์เน้นย้ำว่า การทำงานของชุดตรวจการสุดซอยไม่ได้จำกัดแค่การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่เป็นการตรวจสอบแบบ “สุดซอย” คือลงลึกถึงการทำงานของโรงงานทั้งหมด:
- เครื่องจักร-การก่อสร้างผิดแบบ: หลายโรงงานมีการก่อสร้างหรือติดตั้งเครื่องจักรไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต หรือบางโรงงานอ้างว่ามีเตา LF (Ladle Furnace) ซึ่งเป็นเตาปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กในผังการขออนุญาต มก. แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มี ทำให้คุณภาพเหล็กไม่สม่ำเสมอ
- มลพิษ: พบหลายโรงงานไม่ได้ติดตั้งระบบบำบัดมลพิษ ปล่อยของเสียทำลายสิ่งแวดล้อม
- ความปลอดภัยในโรงงาน: หลายแห่งยังขาดมาตรฐานด้านความปลอดภัย
โรงงานที่พบความผิดปกติถูกสั่งปรับปรุง สั่งปิด และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยผู้กระทำผิดฐานผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานจะโดนโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หากติดเครื่องหมาย มก. บนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็จะโดนโทษจำคุกอีก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท
เผชิญแรงกดดัน: “เรามาไกลแล้ว…ต้องรื้อปัญหาใต้พรม”

แม้การทำงานจะเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ทั้งการข่มขู่ การล็อบบี้จากนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล รวมถึงการกดดันข้าราชการและเจ้าหน้าที่ แต่ฐิติภัสร์ยังคงยืนหยัดอย่างหนักแน่น “เรามาไกลแล้ว มาไกลในที่นี้คือเราพยายามที่จะทำเรื่องที่มันไม่ถูกต้อง เรื่องที่มันถูกซุกไว้ใต้พรม เราพยายามเปิดขึ้นมาแล้ว” เธอกล่าว “อะไรที่มันไม่เคยมีการรื้อขึ้นมา เราต้องรื้อขึ้นมา วันนี้ถ้าเรามัวแต่ซุกปัญหาไว้ที่ใต้พรม เรื่องแบบนี้มันก็จะอยู่แบบนี้คู่กับสังคมไทย”
การทำงานของชุดตรวจการสุดซอย ไม่ได้เพียงแต่สร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นการกอบกู้ความเชื่อมั่น และคืนความหวังให้ประชาชนว่า ปัญหาที่ถูกปกปิดมานานจะถูกตีแผ่และแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม “เราเชื่อว่าเราจะเป็นความหวัง เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้” นางฐิติภัสร์กล่าวทิ้งท้าย แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะนำพาอุตสาหกรรมและประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้องและโปร่งใสอย่างแท้จริง