กระแสคัดค้านการตั้งบ่อนกาสิโน ในร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่กำลังเริ่มคุกรุ่นและร้อนแรงขึ้นในขณะนี้ ดูเหมือนรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนักเมื่อเปรียบกับตัวร่างกฎหมายที่ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาและกำลังจะเข็นเข้า ครม.ประมาณ 11 มีนาคมนี้ เพราะหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการ “กาสิโน” ที่ถูกตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาทต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน นี่จึงเป็นจุดตัดสำคัญในการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าว
ข้อกำหนดเรื่องเงินฝาก 50 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดกรองผู้เข้าใช้บริการกาสิโนให้เป็นกลุ่มผู้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง เพื่อลดผลกระทบทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากการพนัน เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว และปัญหาอาชญากรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันการฟอกเงินและการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกาสิโน
ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันในสังคม ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่าอย่างน้อยเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบทางสังคม ด้วยวิธีจำกัดการเข้าถึงของประชาชนทั่วไป ป้องกันปัญหาทางสังคมเพิ่มมากขึ้น เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว และปัญหาอาชญากรรม
ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า เป็นการกีดกันประชาชนทั่วเข้าไปใช้บริการสถานบันเทิงครบวงจร และอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนที่ถูกมองว่ามีกฎเกณฑ์เข้มงวดเกินไป จนนักลงทุนลังเลที่จะลงทุนในสถานบันเทิงครบวงจร หากมีข้อจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้บริการ
รวมถึงนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ที่เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าวมีหลักคิดแตกต่างจากรัฐบาล เพราะที่รัฐบาลดำเนินการ นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงการลงทุนจากต่างชาติแล้ว ที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมายด้วย เพราะคนไทยที่มีเงินฝากเกิน 50 ล้านบาทมีประมาณ 1 หมื่นบัญชี แปลว่าจะดันคนกลุ่มหนึ่งที่ปัจจุบันไปเล่นตามชายแดน และเล่นในลักษณะผิดกฎหมายออกไปแทนที่จะดึงเข้าสู่ระบบ
ดังนั้นประชุม ครม.นัดที่จะนำร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…เข้าพิจารณา (คาดว่า 11 มีนาคม) จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของสังคมไทย จึงไม่แปลกที่กลุ่ม คปท.ปักหลักชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเร่งกระแสสังคมออกมาคัดค้านรัฐบาลที่กำลังผลักดันกฎหมายฉบับนี้
อย่างน้อยการประเด็นเงินฝากประจำต่อเนื่อง 50 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขร่างของรัฐบาลจะเป็นจุดตัดสำคัญ ที่ทำให้การเข็นกฎหมายฉบับนี้ออกมาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้านที่สุด โดยเฉพาะผลกระทบด้านสังคมที่ประเมินค่ามิได้ เพราะนับแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะมีหน้าตาที่แตกต่างไปจากที่เราเห็นทุกวันนี้แน่นอน
