ประเด็นถกเถียงท้าทายกระบวนการตัดสินของศาลยุติธรรมที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ หนีไม่พ้นปมศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุกกว่า 130 ปี แต่กฎหมายให้จำคุกสูงสุด 50 ปี จากกรณีอดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและพวก ฮั้วประมูลโครงการรัฐมากถึง 26 สัญญา แต่ศาลฯ กลับให้รอลงอาญา จนเสียงวิจารณ์กระหึ่มโลกโซเชียล
กระทั่งศาลฯ นั่งไม่ติด ส่ง รัฐวิชญ์ อริยะพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาร่ายยาวชี้แจงแง่มุมกฎหมาย แต่ประชาชนอ่านแล้วก็ยังเต็มไปด้วยคำถาม เข้าใจดีว่า…ในสายตาของศาลฯ การพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับ พยานหลักฐาน บทบัญญัติทางกฎหมาย และดุลพินิจของศาลเอง แต่ในสายตาของประชาชน คำถามที่เกิดขึ้นคือ “โกงเงินภาษี ทุจริตเป็นขบวนการ แต่รอดคุก นี่คือความยุติธรรมหรือไม่?” “มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติกว่า 81 ล้านบาท แต่การชดใช้ค่าเสียหายคืนราชการ 6.89 ล้านบาทสมเหตุสมผลที่จะลดโทษเป็นรอลงอาญาแล้วหรือ? และคำถามอีกมากมายที่สังคมยังคาใจ
มุมมองทางกฎหมาย: “รอลงอาญา” ทำไมเป็นไปได้?
คำอธิบายจากโฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า ในทางกฎหมาย ศาลมีอำนาจใช้ “ดุลพินิจ” ให้รอลงอาญาหากเห็นว่าจำเลยมี พฤติการณ์ที่ควรได้รับโอกาส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 จำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลพิจารณาว่าเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการพิจารณาคดี จำเลย ชดใช้ค่าเสียหายคืนบางส่วน อาจเป็นเหตุบรรเทาโทษ จำเลย ไม่มีประวัติอาชญากรรมร้ายแรงมาก่อน มีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี และคดีนี้แม้มีหลายกระทง แต่เมื่อแยกพิจารณาโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี 7 เดือน 15 วันไม่เกิน 5 ปี จึงเข้าข่ายรอลงอาญาได้ ดังนั้น ศาลฯ อาจพิจารณาว่า การจำคุกจริง ไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุด และการควบคุมตัวด้วยเงื่อนไขคุมประพฤติแทน เป็นมาตรการที่เพียงพอ
แต่คำถามคือ ”พิจารณาแยกกระทง กระทงละ 2 ปี 7 เดือน 15 วัน ไม่เกิน 5 ปี เข้าข่ายรอลงอาญาได้ แต่มันหลายกระทง ทำไมไม่คิดยอดรวมแต่ไปคิดแยกย่อยที่กลายเป็นประโยชน์ต่อจำเลย แต่ไม่เป็นคุณต่อการจัดการกับคนทุจริต?
“50 ปี รอลงอาญา” ทำไมดูสวนทางกับสามัญสำนึกของประชาชน?
มุมมองประชาชน ทุจริตภาษี = อาชญากรรมร้ายแรง แต่ไม่ต้องติดคุก?
เมื่อพูดถึง “คดีทุจริต” ประชาชนส่วนใหญ่มองว่านี่เป็น อาชญากรรมที่กระทบคนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่บุคคลหนึ่งคน คำถามที่เกิดขึ้นคือ
“ถ้าขโมยของในห้าง ยังต้องติดคุกจริง แล้วทำไมโกงเงินภาษีประชาชนถึงได้รอลงอาญา?”
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนอาจไม่เชื่อมั่นในความเข้มแข็งของกระบวนการยุติธรรม ระบบยุติธรรมอาจเสียความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน เพราะถูกมองว่าลงโทษแบบอ่อนข้อให้คนโกง ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อไปว่า
• “คนรวย คนมีเส้นสาย ได้รับการปฏิบัติที่ต่างจากคนธรรมดาหรือไม่?”
• “นี่คือมาตรฐานใหม่ของคดีทุจริตหรือเปล่า?”
• “แล้วใครจะกลัวการโกง ถ้าสุดท้ายแล้วแค่คืนเงินก็รอด รอลงอาญา?”
ระบบยุติธรรมต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ
คำชี้แจงว่า แม้จะพิพากษา “รอลงอาญา” ไม่ได้แปลว่าจำเลยพ้นผิด
แต่สิ่งที่สังคมตั้งคำถามคือ ทำไมถึงใช้ดุลพินิจแบบนี้? แน่นอนว่าเราไม่สามารถก้าวก่ายล่วงละเมิดอำนาจศาลได้ แต่ในคดีสาธารณะเกี่ยวกับการทุจริตเช่นนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัยกลายเป็นคำถามไปถึงศาลฯ เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า การตัดสินคดีทุจริต ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรมที่ประชาชนต้องรับรู้และยอมรับได้ เนื่องจากเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการถูกเบียดบังภาษีที่ควรถูกใช้ไปเพื่อพัฒนาประเทศ
หากคำตัดสินไม่สามารถทำให้สังคมมั่นใจได้ ก็ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบกฎหมายในระยะยาว
50 ปีรอลงอาญา : ความยุติธรรม หรือความย้อนแย้ง?
ในทางกฎหมาย ศาลฯ มีเหตุผลในการให้รอลงอาญาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่ในทางสังคม ประชาชนมองว่า “โกงภาษี” ควรเป็นคดีที่ต้องติดคุกจริง ไม่ใช่รอลงอาญา ในทางหลักธรรมาภิบาล ระบบยุติธรรมต้องสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน ว่าการทุจริตต้องได้รับโทษที่สมเหตุสมผล
ถ้า “รอลงอาญา” กลายเป็นมาตรฐานของคดีทุจริต นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนไม่กลัวการโกงอีกต่อไป!
จากนี้คงได้แต่รอลุ้นว่าศาลอุทธรณ์ จะมีคำตัดสินในคดีนี้อย่างไร?

