“สถานการณ์ตอนนี้ เหมือนไทยกลายเป็นเชลยศึกกัมพูชาโดยปริยาย”
—รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
—————
หลังจากเงียบอยู่หลายวัน ในที่สุด “ฮุน เซน” ก็โต้กลับทักษิณ ชินวัตร ด้วยข้อความแรงเกินคาด กล่าวหาว่า “ทรยศชาติบ้านเกิด” พร้อมทิ้งท้ายเป็นนัยว่า “ยังมีความลับอีกมาก” ที่พร้อมจะเปิดเผย ทำให้ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ประเมินว่า การตอบโต้ลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องจบง่าย ๆ และ “ฮุน เซน” เองก็กำลังประเมินทางเลือกในการเคลื่อนไหวต่อไป—เพื่อให้กลับมาสร้างความได้เปรียบอีกครั้ง
“ตอนนี้เราดำเนินการตามแนวชายแดนเข้มแข็งขึ้น ประกอบกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างสองครอบครัวผู้นำลดลง กัมพูชากังวลว่าจะกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว”
อาจารย์ปณิธานชี้ว่า ความสัมพันธ์ที่ร้าว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเจรจา เพราะผลประโยชน์ทับซ้อนยังอยู่เหมือนเดิม ทั้งธุรกิจเครือข่ายผิดกฎหมาย และความร่วมมือบางส่วนที่เชื่อมโยงผู้นำและอดีตผู้นำของกัมพูชา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ปฏิบัติการปิดล้อมของกัมพูชาเริ่มได้ผลน้อยลง” แต่ฝ่ายไทยเองก็ยังไม่ได้เดินหน้ากดดันอย่างเต็มรูปแบบ
—————
สามแนวทางฮุน เซน: ปล่อยของเพิ่ม – เจรจา – ทำทั้งคู่
อาจารย์ปณิธานวิเคราะห์ว่า ฮุน เซน อาจเลือกเดินได้สามทาง
1. กดดันเพิ่ม ด้วยข้อมูลลับ
2. ลดท่าทีทางชายแดนเพื่อเปิดทางเจรจา
3. หรือทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน เพื่อสร้างความสับสนและต่อรองได้สูงสุด
“ยังมีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์พิเศษในเชิงธุรกิจ ที่คนอยากรู้ว่าไปโยงกับผลประโยชน์ชาติอย่างไร”
เขาย้ำว่า ถ้าฮุน เซน ตัดสินใจปล่อยข้อมูลลับจริง ต้องดูว่าเกี่ยวพันกับคดีของแพทองธาร ชินวัตร ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากมีข้อตกลงหรือผลประโยชน์ระหว่างสองประเทศถูกเปิดเผย ก็อาจกระทบต่อสถานะนายกฯโดยตรง
“ฮุน เซนรู้ดี และตั้งใจปล่อยคลิปแบบเล็งเห็นผล ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ”
—————-
ไทยเหมือน “เชลยศึกทางการเมือง”
สิ่งที่อาจารย์ปณิธานมองว่าน่าเป็นห่วงที่สุด ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระดับผู้นำที่ร้าวฉาน แต่คือผลกระทบที่เริ่มลามมาถึงระดับประชาชน หน่วยงานราชการ และการดำเนินนโยบายระหว่างรัฐต่อรัฐ
“การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ทำให้เกิดภาวะชะงักงันในการปฏิบัติ เป็นตัวอย่างของการเป็นเหมือนเชลยศึกไปโดยปริยายในทางอ้อม”
เขาอธิบายว่า ความไม่แน่นอนนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานไม่กล้าเคลื่อนไหว เช่น การจัดประชุมในระดับท้องถิ่นอย่างคณะกรรมการชายแดน หรืออาร์บีซี ยังไม่มีวี่แววจะเกิดขึ้น ความร่วมมือระหว่างพื้นที่ก็อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
“ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยิ่งเปราะบางมากขึ้น และเริ่มกระทบไปถึงความสัมพันธ์ของประชาชนระหว่างสองประเทศแล้ว”
—————-
ต้อง “เลิกกรอบเก่า” และตั้งหลักใหม่
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่อาจารย์ปณิธานย้ำคือ การเลิกยึดติดกรอบเดิม ๆ เช่น MOU 43 และ 44 ที่ใช้ไม่ได้ผลแล้ว ต้องมีการวางแผนใหม่ทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบอีก
“เป็นไปได้ยากแล้วที่จะถอนกำลังในระยะสั้นและระยะกลาง ต้องวางกำลังใหม่ และทำให้ชัดเจนกว่าที่เคย”
—————-
บทสัมภาษณ์นี้ไม่เพียงแค่สะท้อนแรงปะทะทางการเมืองระดับผู้นำ แต่ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เมื่อปล่อยให้ผูกติดกับความลับ ความไว้ใจ และผลประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ย่อมกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ดีลส่วนตัวหรือดีลประเทศไทย #ใครได้ใครเสีย #ทักษิณ #ฮุนเซน #คลิปสนทนา #รัฐบาลแพทองธาร #แพทองธาร #ทักษิณชินวัตร #ชายแดนไทยกัมพูชา #คลิปเสียงแพทองธารฮุนเซน

