หลายคนคงยังจำได้ถึงตำนานคดีแชร์ลูกโซ่ “แม่ชม้อย” ซึ่งมีผู้เสียหายมากถึง 16,231 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับ 29 ปีที่แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีการเข้าถึงประชาชนยังไม่เฟื่องฟูเท่ากับในยุคปัจจุบัน
มีคนนำเรื่องแชร์แม่ชม้อย ไปเทียบเคียงกับ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ก็ต้องบอกว่ามีความต่างที่สำคัญคือ แชร์แม่ชม้อย ไม่มีสินค้าจริง ชักชวนคนมาลงทุน “แชร์น้ำมัน” ทั้งที่ไม่มีบริษัทอยู่จริง แต่ดิไอคอนกรุ๊ปมีตัวตน มีสินค้าจริง
แต่ที่เหมือนกันคือ การชักชวนคนลงทุน แตกต่างที่เงื่อนไข แชร์แม่ชม้อย จะกำหนดผลตอบแทนสูงเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 6.5 % ต่อเดือน ขณะที่ ดิไอคอนกรุ๊ป ได้ค่าตอบแทนจากยอดขายสินค้า ที่ถูกตั้งคำถามว่า ไม่ได้เน้น “ขายสินค้า” แต่เน้น “หาคน” สร้างตัวแทนจำหน่ายไปเรื่อย ๆ เพิ่มยอดสินค้าที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการซื้อจริงจากผู้บริโภคตามบิลที่เปิดไป สรุปง่าย ๆ คือ เปิดบิลแล้วขายของไม่ออก
ประเด็นที่หน่วยงานเกี่ยวข้องควรพิจารณาคือ ดิไอคอนกรุ๊ป เคยไปขอจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรง แต่เนื่องจากมีการขายของออนไลน์ จึงไม่เข้าข่ายธุรกิจขายตรง แต่ในการทำธุรกิจกลับปรากฏภาพชัดว่าเป็น “โมเดลธุรกิจขายตรง” ที่มุ่งใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในทุกวงการ ไม่ใช่แค่ดาราดังเท่านั้น มาช่วยการันตีความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ซึ่งไม่ได้เพิ่งทำแต่ทำมาหลายปีแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น สคบ. ตำรวจ ปคบ. ทำอะไรอยู่
ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องกวาดล้างธุรกิจที่ไร้ธรรมาภิบาล ทำเครือข่ายลูกโซ่ในคราบธุรกิจขายตรงอย่างจริงจัง เพราะเริ่มปรากฏข้อมูลมากขึ้นว่า ไม่ใช่แค่ ดิไอคอนกรุ๊ปเท่านั้นที่ทำโมเดลธุรกิจเช่นนี้
โมเดลดิไอคอนกรุ๊ป ยังเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำหรับเหล่าเซเลป คนดัง รับเงินเขาแล้วทำตามสคริปต์ อ้างแบบนี้ไม่ได้ เพราะถ้าสคริปต์หลอกลวงคุณก็เข้าข่ายหลอกลวงด้วยเช่นกัน
หลังเป็นข่าวครึกโครมหลายหน่วยงานรุมสหบาทาไปที่ ดิไอคอนกรุ๊ป แต่ถ้าดูตามตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะมีโทษกี่กรรม สุดท้ายสูงสุดก็จำคุกได้เพียง 50 ปีเท่านั้น
อย่างกรณีแชร์แม่ชม้อย ศาลฯ พิพากษาจำคุกนานถึง 154,005 ปี แต่ติดจริงเพียงแค่ 7 ปี 11 เดือนเท่านั้น
ส่วนกรณีดิไอคอนกรุ๊ป มีบอสคนไหนต้องรับผิดชอบบ้าง ใครต้องไป “ร้องข้ามกำแพงคุก” ยังต้องรอบทพิสูจน์จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แต่ที่ดูเหมือนจะรอดตาข่ายไป คนไม่ค่อยจับจ้องมากนัก คือรายการทีวี รับงานโพรโมตฉ่ำ อวยกันไส้แตก ลองไปไล่ดูจะเห็นชัดว่ารายการอะไรบ้าง สร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัทนี้อย่างไร แต่ไม่เคยขึ้นข้อความให้ชัดว่า เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณา ทำให้ผู้ชมเข้าใจว่า บุคคลที่มาสัมภาษณ์ในรายการคือคนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ จนรายการเชิญมาสัมภาษณ์
เกิดคำถามว่าในทางกฎหมายรายการเหล่านี้ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ “ป๋าดัน” แลกเงินโฆษณา จนผู้ชมที่เห็นเอนเอียงคล้อยตาม สุดท้ายหลงเชื่อเพราะคิดว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือ การลงทุนมีโอกาสได้กำไร ดังตัวอย่างที่นำมาโฆษณาชวนเชื่อ
สื่อฯ ที่ยังคงรับผิดชอบต่อสังคม ต้องพึงระลึกเสมอว่า ต้องแยกเนื้อหารายการออกจากการโฆษณาให้ชัดเจน โดยเฉพาะการสัมภาษณ์บุคคลต้นแบบในแวดวงต่าง ๆ ที่ตอนนี้กลายเป็นรายได้หลักของสื่อหลายสำนัก เรียกว่าซื้อพื้นที่ได้หน้าจอ
“ดิไอคอนกรุ๊ป” จึงเป็นอีกหนึ่งบทเรียน “สื่อ” รับโฆษณาฉ่ำ ต้องไม่ลืม “จริยธรรม” เพราะการไม่แยกแยะอะไรเป็นพื้นที่โฆษณา อะไรเป็นสิ่งที่รายการคัดสรรมานำเสนอ คือส่วนหนึ่งในขบวนการสร้าง “ธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ป” ที่สร้างความเสียหายถึงขั้นมีคนฆ่าตัวตายมาแล้ว