ขอเจรจาเอง แต่กลับเลื่อนเอง – รัฐบาลไทยพร้อมสู้ศึกเศรษฐกิจโลกจริงหรือ?
ประกาศวันด้วยความมั่นใจ แต่พอถึงเวลา…กลับบอกว่ายังไม่พร้อม
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเจรจาที่ล่มกลางทาง
แต่มันสะท้อนว่า “ความไม่พร้อมของรัฐบาล” ในการนำพาประเทศในสมรภูมิเศรษฐกิจโลก
⸻
จากความหวัง…สู่ความสับสน
ต้นเดือนเมษายน 2568 พล.อ.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดว่า รัฐบาลไทยเตรียมเปิดการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขวิกฤต “ภาษีทรัมป์” ที่ทำให้สินค้าส่งออกจากไทยถูกขึ้นภาษีสูงถึง 37% ภายใต้
ต่อมานายกฯ แพทองธาร ยืนยันกับสื่อว่า “ไทยได้ยื่นขอเจรจาอย่างเป็นทางการแล้ว และได้นัดหมายเบื้องต้นในวันที่ 23 เมษายน”
การประกาศเช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกว่าไทยกำลังเริ่ม “ตั้งหลัก” และวางเกมต่อรองอย่างจริงจัง
⸻
แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น?
เพียงไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดวันเจรจา กลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จากฝั่งรัฐบาล จนกระทั่งวันที่ 21 เมษายน นายพิชัยให้สัมภาษณ์อีกครั้ง โดยระบุว่า
“ได้ขอเลื่อนการเจรจาออกไปก่อน เพราะยังต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้รอบคอบ”
คำชี้แจงนั้นแทนที่จะคลายความกังวล…กลับสร้างคำถามมากขึ้นกว่าเดิม
⸻
คำอธิบาย…ที่เต็มไปด้วยคำถาม
“พูดตรง ๆ นะ เราขอว่าอย่าให้เร็วกว่าคนอื่น และอย่าช้ากว่าคนอื่น เร็วไปก็ไม่ดี ถ้าช้ากว่าคนอื่นก็ไม่ดี เหมาะสมที่สุด คือดูก่อนว่าหัวขบวนเขาโดนอะไรบ้าง กลางขบวนโดนอะไรบ้าง เราอยู่กลาง ๆ เกือบท้ายเราจะได้รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จริง ๆ เขาอยากให้ไป อยากให้ทุกคนไป เพียงแต่จะจัดคิวอย่างไร ส่วนผมอาจต้องละเอียดรอบคอบหน่อย”
เป็นคำอธิบายของ รมว.คลัง ที่คนฟังได้แต่ขมวดคิ้ว
ขออยู่กลาง ๆ เกือบท้าย ที่เลื่อนเพราะไม่รีบ ถ้าไม่รีบแล้วนัดเพื่อ…
เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายขอเจรจาก่อน แล้วเหตุใดจึงต้องเป็นฝ่ายขอเลื่อนเอง?
• ถ้ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอ เหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงประกาศวันเจรจา?
• พอใกล้ถึงวันเจรจาเพิ่งรู้ว่าไม่พร้อม นี่งานระดับประเทศนะ ไม่ใช่พรีเซ็นต์หน้าห้องเรียนของเด็กมัธยม
สิ่งที่เกิดขึ้นมันบ่งบอกว่า…รัฐบาลยังไม่รู้เลยว่าจะเจรจาอะไรดีกับสหรัฐฯ…หรือไม่ก็ที่เตรียมไว้ทั้งหมดไม่มีอะไรเข้าตาเขาเลย จนต้องกลับมาตั้งหลักใหม่!
⸻
เมื่อภาพนายกรัฐมนตรี…เป็นไม่ได้แม้แต่พรีเซ็นเตอร์
สิ่งที่น่าวิตกยิ่งกว่าการเลื่อนเจรจา คือคำถามเชิงโครงสร้าง
เพราะคำประกาศของแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้รับการต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ได้เสียหายแค่ ”แพทองธาร“ เต่เสื่อมเสียภาพลักษณ์ของประเทศไทย บนเวทีการค้าระดับโลก
“ภาวะผู้นำ” ที่ถูกตั้งคำถามอยู่แล้ว ยิ่งเสื่อมทรุดหนักหน่วง
⸻
ถามตรง ๆ — ไทยพร้อมแค่ไหน?
ในขณะที่ประเทศอย่างเวียดนามประกาศส่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจเข้าพบรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมยื่นข้อเสนอ
สิงคโปร์ออกแถลงการณ์ทันทีถึงท่าทีของตนและแนวทางการรองรับผลกระทบ
แต่ไทย…ยังไม่มีแผนสำรอง ไม่มีแถลงการณ์ระดับผู้นำ และไม่มีความชัดเจนแม้แต่ในสิ่งที่ “จะไปคุย”
สงครามการค้าไม่ใช่สนามประชาสัมพันธ์
แต่คือสมรภูมิที่ต้องการข้อมูล ยุทธศาสตร์ และความเป็นผู้นำ
ภาษีที่เราต้องกลัว อาจไม่ใช่ภาษีจากทรัมป์
แต่คือ “ราคาที่ต้องจ่าย” จากความไม่พร้อมของรัฐบาลตัวเอง
รัฐบาลที่เดินเกมไม่เป็น
ต่อให้ได้โอกาสเจรจา…ก็อาจทำได้แค่
“ยืนงงในดงดอลลาร์!”
⸻