สำนักงานศาลปกครอง ชี้แจงข้อกฎหมายพิจารณาคดีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร นายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 9 คน ผู้ถูกฟ้องคดี โดยในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ มีมูลเหตุมาจาก คำสั่งกระทรวงการคลังให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท อันเป็นคำสั่งทางปกครองที่ให้ชำระเงิน โดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินตามคำสั่งได้ โดยไม่จำต้องฟ้องคดีต่อศาล ทั้งนี้เมื่อเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยมีคำขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
คดีส่วนนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพิพาทเฉพาะส่วนที่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า 10,028,861,880.83 บาท โดยศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาและออกคำบังคับให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 โดยตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่นั่งพิจารณาได้ลงลายมือชื่อในร่างคำพิพากษาครบทั้ง 5 คนเรียบร้อยแล้ว ต่อมาประธานศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองสูงสุดทุกคนที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น ตุลาการที่พ้นจากราชการไปแล้วจึงไม่อาจเข้าร่วมประชุมใหญ่ได้
ต่อมาเมื่อมีการจัดทำคำพิพากษาตามมติของที่ประชุมใหญ่แล้ว ตุลาการในองค์คณะ 2 คนที่พ้นจากราชการไปแล้ว จึงไม่อาจลงลายมือชื่อในคำพิพากษาได้ ซึ่งประธานศาลปกครองสูงสุดได้มีบันทึกกรณีตุลาการมีเหตุจำเป็นไม่อาจลงลายมือชื่อได้ไว้ในคำพิพากษาแล้ว ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 68 และมาตรา 69 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

