นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงประเด็นร้อนแรงในวงการการเมือง เมื่อ ส.ส. พรรคประชาชนเตรียมเข้าชื่อยื่นสอบจริยธรรม นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. ต่อนาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แต่เกิดปัญหาใหญ่เมื่อทั้ง สองคนที่มีอำนาจชี้ขาด กลับเป็นบุคคลที่อยู่ใน คลิปฉาว ถูกครหาว่ามีการล็อบบี้ยุติคำร้องสอบสวน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.
“นี่แหละคือช่องโหว่ของ มาตรา 236 ที่ผมตั้งคำถามมาตลอด และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ตั้งแต่ตอนทำประชามติ” อภิสิทธิ์กล่าวหนักแน่น
กลไกตรวจสอบที่ย้อนแย้ง – นักการเมืองคุมเกม ป.ป.ช.
อดีตนายกฯ อธิบายว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ออกแบบให้กระบวนการตรวจสอบจริยธรรม กรรมการ ป.ป.ช. ต้องทำผ่าน ประธานรัฐสภา ซึ่งมี อำนาจใช้ดุลพินิจ ว่าจะส่งเรื่องต่อให้ประธานศาลฎีกาหรือไม่ หากประธานรัฐสภาเห็นว่า “ไม่มีเหตุอันควรสงสัย” ก็สามารถตีตกเรื่องได้ทันที นั่นหมายความว่า อำนาจการตรวจสอบ ป.ป.ช. ถูกควบคุมโดยฝ่ายการเมือง ซึ่งต่างจาก รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ให้ ประธานวุฒิสภา เป็นเพียง ทางผ่าน ส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาโดยไม่มีอำนาจพิจารณาว่าเรื่องนั้น “สมควรส่งต่อหรือไม่”
“ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่ถูกออกแบบให้ตรวจสอบคนอื่น แต่การที่กลไกการตรวจสอบ ป.ป.ช. ไปขึ้นอยู่กับ นักการเมืองในซีกรัฐบาล กลับทำให้การตรวจสอบย้อนกลับมาที่ ป.ป.ช. เองกลายเป็นเรื่องยากขึ้น” อภิสิทธิ์กล่าว พร้อมตั้งคำถามว่า “ทำไมไม่เขียนให้ประธานรัฐสภาทำหน้าที่ส่งเรื่องเฉย ๆ โดยไม่ต้องใช้ดุลพินิจ? เหมือนรธน.ปี 50 ที่ให้ประธานวุฒิสภาเป็นแค่ทางผ่าน”
“ล็อบบี้-ต่อรอง-วิ่งเต้น” ในเงาของรัฐธรรมนูญ 2560
นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการพูดกันมากว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” แต่เมื่อดูจากกลไกการตรวจสอบ กลับเอื้อต่อการต่อรองทางอำนาจมากกว่า “ถ้าพูดตรงไปตรงมาคือ ผู้ร่างรธน.ฉบับนี้ต้องการสร้างระบบการเมืองที่ตัวเองจะเข้ามาเล่น กติกาที่กำหนดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมถึงวุฒิสภาก็ถูกวิจารณ์เยอะ ผมจึงเข้าใจว่าเมื่อเขาคิดจะเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารก็เลยทำให้กลไกการตรวจสอบไม่เข้มเหมือนเมื่อก่อน มีช่องทางในการเจรจาต่อรอง หรือถ้าแรงกว่านั้นคือวิ่งเต้นได้ เป็นหน้าที่ของสังคมที่จะต้องช่วยกันทำให้ทุกอย่างเกิดความชัดเจนและโปร่งใส”
เมื่อ “คนพิจารณา” กลายเป็น “ผู้ถูกพาดพิง”
ปัญหาที่หนักกว่าช่องโหว่เชิงกฎหมาย คือ คนที่ต้องพิจารณาว่าจะให้สอบจริยธรรมประธาน ป.ป.ช. หรือไม่ กลับถูกพาดพิงในคลิปฉาวด้วยกันทั้งคู่
แบบนี้ประชาชนจะเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบได้ยังไง? เมื่อ ประธาน ป.ป.ช. และ ประธานรัฐสภา ติดอยู่ในเงื่อนปมเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ชี้ว่า ทางออกที่ง่ายที่สุดคือ คนที่ถูกกล่าวหาต้องเปิดให้มีการตรวจสอบตัวเอง เพื่อเรียกคืนความไว้วางใจของสาธารณชน
การแก้รัฐธรรมนูญ: วงจรที่ไม่มีจุดจบ
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า การแก้ มาตรา 236 ควรเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อสร้างความสมดุลระหว่าง นักการเมืองและองค์กรอิสระ แต่การแก้รัฐธรรมนูญกลับ เต็มไปด้วยเงื่อนไขทางการเมือง จนไม่สามารถเดินหน้าได้
“ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ สิ่งที่ควรทำก่อนคือการแก้กลไกตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพ แต่ทุกวันนี้ไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย เพราะหมกมุ่นอยู่กับ หมวด 1 หมวด 2 หรือพยายามแก้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากมาตรฐานจริยธรรมมากกว่า”
อดีตนายกฯ ยังเสนอว่า วุฒิสภา ควรเป็นตัวกลางที่ช่วยเชื่อมโยง ประชาชนกับองค์กรอิสระ โดยอาจให้ กลุ่มอาชีพลงสมัครรับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เพื่อลดอิทธิพลของพรรคการเมือง
“8 ปีที่ผ่านไป – รัฐธรรมนูญแก้ได้แค่เรื่องบัตรเลือกตั้ง”
“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้มา 8 ปีแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ถูกแก้ไขได้ คือเรื่องบัตรเลือกตั้ง จาก 1 ใบ เป็น 2 ใบ ซึ่งสุดท้ายก็ยังมีปัญหาขัดกันกับมาตราอื่นอยู่ดี” นายอภิสิทธิ์ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายว่า หากยังไม่มี “ฉันทามติทางการเมือง” ที่ชัดเจน การแก้รัฐธรรมนูญก็ยังยื้อกันอยู่จากความต้องการที่ไม่ตรงกันของฝ่ายการเมือง โดยที่ปัญหาหลักอย่าง “กลไกการตรวจสอบ” จะไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

