รัฐบาล โดย ศบ.ทก. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ นำคณะเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ อุปทูต 2 ประเทศ ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 6 ประเทศ และทูตทหาร รวม 23 ประเทศ อาทิ จีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อิตาลี ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย พร้อมสื่อมวลชนไทย สำนักข่าว/หน่วยงาน และสื่อต่างประเทศ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา
โดยลำดับเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชายั่วยุตั้งแต่ต้นปี 2568 ผ่านกิจกรรมทางทหารและพลเรือน เช่นพานักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในปราสาทตาเมือนธม เผาศาลาตรีมุข ดัดแปลงพื้นที่ เสริมกำลังและยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดน ลักลอบขุดคูติดต่อในเขตไทย และวางทุ่นระเบิด PMN-2 ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บหลายราย ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง ส่งมวลชนและทหารจัดกิจกรรมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ทำให้เกิดการปะทะกับคนไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายไทยจึงใช้มาตรการควบคุมชายแดน โดยล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก แต่ฝ่ายกัมพูชายกระดับการโจมตียิงใส่ทหารไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนลึกเข้าไปในประเทศไทย เช่น รพ., ปั๊มน้ำมัน, ร้านสะดวกซื้อ, โรงเรียน และบ้านเรือนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก และต้องอพยพมากกว่า 150,000 คน ฝ่ายไทยตอบโต้ตามหลักป้องกันตนเอง อย่างจำเป็นและได้สัดส่วน โดยมีเป้าหมายทางทหาร ขณะที่กัมพูชายิงจากเขตพลเรือนและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
หลังเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง ได้บุกรุกพื้นที่ 6 จุด โดยดำเนินการ ต่อถึงวันที่ 30 ก.ค. และวันที่ 31 ก.ค. 68 พบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทยเพื่อสอดแนม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง
ไทยยังตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชาอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาว่าไทยรุกรานและละเมิดอธิปไตย ใช้ระเบิดเคมี หรือกล่าวหาใช้ F-16 และอาวุธหนักเพื่อโจมตี ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง รวมถึงกล่าวหาทิ้งระเบิด MK-84 ใส่บ้านเรือนประชาชน ทั้งที่พบว่านำเสนอภาพเก่าเป็นวัตถุระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนาม
พร้อมกันนี้ยังยืนยันว่าการปะทะเกิดจากการโจมตีก่อนของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งที่มีการเจรจาหยุดยิงแล้ว ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงและปล่อยข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจ และร่วมผลักดันให้เกิดการเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้หลักสันติวิธี
ทั้งนี้นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่เปิดกว้าง เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ แก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคี

