3 ยุค “ชินวัตร” กับการลุกฮือของมวลชน
2548–2568
เสียงขับไล่ดังขึ้นในทุกยุค เมื่อ “อำนาจ” สวนทางกับ “ประชาชน”
2548 — ม็อบพันธมิตรฯ จุดชนวนคำว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย”
2557 — ม็อบ กปปส. จุดไฟต่อต้าน “นิรโทษกรรมสุดซอย”
2568 — ม็อบอนุสาวรีย์ชัยฯ เรียกร้องหยุด “สมคบต่างชาติ ทำลายอธิปไตย”
คำถามคือ…
ทำไม “ตระกูลเดียวกัน” ถึงต้องเผชิญเสียงขับไล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
———
ความชอบธรรมทางอำนาจไม่ได้วัดจากแค่เสียงสส.
หากเป็นพรรคเพื่อไทยหรือผู้สนับสนุนคงประสานเสียงบอก “ถูกกลั่นแกล้ง” มีแต่เจ้าเก่าขาประจำที่คอยตอกลิ่ม
แต่เพราะคิดเช่นนี้เอง
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาทั้งทักษิณและลิ่วล้อจึงไม่เคยถอดบทเรียนได้อย่างจริงจังว่า —
เหตุใด “ประชาชน” ถึงลุกฮือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ผู้นำแต่ละยุคได้อำนาจมาจาก “การเลือกตั้ง”?
คำตอบอาจอยู่ตรงนี้:
ความชอบธรรมจากประชาชน ไม่ได้วัดเพียงคะแนนเสียง — แต่วัดจากใช้อำนาจในฐานะ “ตัวแทนปวงชนชาวไทย” ด้วย
⸻
ยุคแรก: 2548 — “ทุจริตเชิงนโยบาย”
วันนั้น คนไทยเพิ่งรู้จักคำนี้เป็นครั้งแรก “ทุจริตเชิงนโยบาย”
ไม่ใช่การยัดเงินใต้โต๊ะ
แต่ความเสียหายมากกว่านั้น จากการใช้เสียงข้างมากผลักดันนโยบายเอื้อตัวเอง
เปลี่ยนรัฐเป็นบริษัท
เปลี่ยนฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายเอื้อธุรกิจ
เปลี่ยนประชาธิปไตยเป็นประชานิยม
เปลี่ยนนโยบายเพื่อชาติ เป็นนโยบายเพื่อทุน!
ม็อบเสื้อเหลืองไม่ทน
“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ก่อตัว
ท้องถนนกลายเป็นที่ตั้งคำถามต่อ “อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง”
และมวลชนเริ่มสวนกลับว่า
เลือกตั้งไม่เท่ากับความชอบธรรม ที่จะทำอะไรก็ได้ โดยไม่เห็นหัวประชาชน
บริบทแห่งการต่อสู้ในขณะนั้น…ไม่ใช่แค่การแสดงให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า อำนาจต้องมาพร้อมความชอบธรรมในการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดปะทะระหว่างมุมมอง “ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง” กับ “ประชาธิปไตยที่มีจริยธรรมและคุณธรรมกำกับ” ด้วย
เสียงขับไล่ดังกระหึ่ม
ทักษิณยุบสภา แต่ความขัดแย้งยังคุกรุ่น
ก่อนสิ้นสุดลงด้วยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
⸻
ยุคสอง: 2557 — “นิรโทษกรรมสุดซอย” จุดไฟกลางถนน
เกือบสิบปีต่อมา
ตระกูลเดิมกลับมาครองอำนาจ
เปลี่ยนคน…แต่ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมาย
พาทักษิณกลับบ้านอย่างเท่ ๆ โดยไม่ต้องติดคุก
คือจุดมุ่งหมายที่ซ่อนอยู่ในร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย
ลักไก่กลางดึก…ปลุกประชาชนตื่นรู้ทันที
ม็อบ กปปส.ลุกฮือ
จากสีเหลืองกลายเป็นสีธงชาติ
จุดไฟกลางถนนราชดำเนินอีกครั้ง
เสียงนกหวีดดังกว่าลำโพงของรัฐ
เรียกร้องให้นายกฯ ลาออก แต่ยิ่งลักษณ์เลือกยุบสภา
สถานการณ์ยังบานปลาย
ก่อนลงเอยด้วยรัฐประหารอีกครั้ง
⸻
ยุคล่าสุด: 2568 — “สมคบต่างชาติ?” และธงชาติกลับมาโบกกลางกรุงอีกหน
20 ปีจากยุคพ่อส่งผ่านมายังลูกสาว
มีโอกาสมากมายที่จะทำให้ไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์
แต่บทเรียนจากอดีต กลับไม่เคยถูกหยิบมาทบทวน
เลือกเดินตามรอยเดิม
“ใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม…ผู้นำไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม”
คลิปที่ฮุน เซนปล่อย ประจานทุกอย่าง
ขณะเจ้าตัวยังไม่สำนึกถึงความผิดพลาด
ธงชาติจึงโบกสะบัดอีกครั้ง ณ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
28 มิ.ย.68 กลายเป็นวันเปิดสมรภูมิของ “ประชาชน” อีกครั้ง
สมรภูมิ ที่คาดหวังชัยชนะในการชำระประเทศผ่านกติกาที่มีอยู่
ไม่ใช่การรัฐประหาร
———
สามคน สามยุค…สุดท้าย—ถูกขับไล่!
เพราะอะไร “ตระกูลชินวัตร” จึงไม่เคยอยู่รอดในอำนาจ
แต่กลับสุดทางที่ถูกมวลชนลุกฮือขับไล่ทุกครั้ง?
คำตอบอาจชัดเจนอยู่แล้ว—
เพราะพวกเขา ไม่เคยเรียนรู้จากอดีต ว่า…
“ความชอบธรรม” ไม่ได้มาจากแค่คะแนนเสียง
แต่อยู่ที่ “การใช้อำนาจชอบธรรม” อย่างมีความรับผิดชอบต่อประชาชน
ไม่ใช่ “ชอบทำตามอำเภอใจ”
หากยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ และไม่รีบปลดล็อกปัญหา
ปลายทางของลูกสาว อาจไม่ต่างจากพ่อ หรือ อาสาว
และสำหรับประเทศไทย—
บทจบครั้งนี้อาจไม่เหมือนเดิม
#รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย#อำนาจต้องชอบธรรม#3นายกตระกูลชินวัตร#ลาออก#มาตรา5รัฐธรรมนูญ#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม