รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สื่อมวลชนอาวุโส ให้สัมภาษณ์กับ The Publisher ผ่านรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง ถึงกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่มีการเพิกถอนกรรมสิทธิให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ โดยเริ่มมีการพูดถึงการชดเชย เยียวยา ว่า ต้องดูที่มาที่ทำให้ที่วัดกลายเป็นที่เอกชน โดยไล่เรียงให้เห็นถึงแผนการฮุบที่ธรณีสงฆ์ เกิดขึ้นในยุคที่นายเสนาะ เทียนทอง เป็นรมช.มหาดไทย ทำหน้าที่รมว.มหาดไทย ลงนามในคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหารครอบครองที่ดินเกิน 50 ไร่ เปิดทางให้เกิดการโอนกรรมสิทธิไปให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จนมีการนำที่ดินทั้ง 2 แปลง ไปขายให้กับบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ มีนางอุไรวรรณ และนายวิทยา ภรรยา-น้องชายของนายเสนาะเป็นผู้ถือหุ้น และยังมีนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับทั้งนายเสนาะและนายทักษิณ ชินวัตรถือหุ้นอยู่ด้วย คือ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ กับนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงพงศ์ไพศาล เข้าทำนอง “ผัวเซ็น เมียซื้อ” ไม่ต่างอะไรกับกรณี “ที่ดินรัชดา” ที่นายทักษิณเซ็นยินยอมให้คุณหญิงพจมานซื้อที่ดิน
“ปี 2543 ผมได้สัมภาษณ์นายทักษิณ เขายืนยันไม่มีการรับนายเสนาะเข้ามาร่วมพรรคไทยรักไทย และยอมรับซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ในราคา 500 ล้านบาท เพราะมันเวิร์กในทางธุรกิจ สุดท้ายมีการตรวจสอบภายหลังนายทักษิณได้เป็นนายกฯ ในเรื่องบัญชีทรัพย์สิน ก็พบว่าผู้ถือหุ้นในสนามกอล์ฟอัลไพน์ กลายเป็นรปภ. แม่บ้าน คนขับรถของนายทักษิณ เป็นปัญหาเรื่องการซุกหุ้นภาค 1 ป.ป.ช.ให้ผมไปเป็นพยานเพื่อยืนยันคำสัมภาษณ์ของนายทักษิณว่าเป็นผู้ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ แต่ในครั้งนั้นนายทักษิณชนะคดีไปแบบฉิวเฉียด เรื่องนี้ผมยังตรวจสอบต่อจนพบว่านายวิทยา เทียนทอง น้องชายนายเสนาะ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์ฯ เทียวไปเทียวมาที่วัดหลายครั้ง ก่อนที่นายเสนาะจะลงนามไม่อนุญาตให้วัดฯ ถือครองที่ดินเกิน 50 ไร่ จนนำไปสู่การซื้อขายที่ดินในที่สุด ถามว่านายทักษิณจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกติในการซื้อที่ดินครั้งนี้เลยหรือ ในเมื่อคนที่ถือหุ้นในบริษัทฯ นี้ก่อนเปลี่ยนมือ ก็ล้วนเป็นคนใกล้ชิดนายทักษิณทั้งสิ้น อีกทั้งสื่อมวลชนเองยังตั้งคำถามและมีการขุดคุ้ยด้วย การซื้อที่ดินที่ได้มาโดยฉ้อฉล อาจเปรียบได้กับการซื้อของที่ปล้นมาก็เหมือนรับซื้อของโจรหรือไม่“
ใช้อำนาจฉ้อฉลฮุบที่ธรณีสงฆ์ในยุคทักษิณ
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เล่าด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ มีการส่งให้กฤษฎีกาให้ความเห็นทางกฎหมายก็มีมติว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ เรื่องไปที่กรมที่ดิน ในปี 2544 อธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้นก็มีคำสั่งเพิกถอนกรรมสิทธิในที่ดินดังกล่าวคืนเป็นที่ธรณีสงฆ์ แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงในยุคที่นายทักษิณ เป็นนายกฯ โดยมีแรงกดดันไปที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน แต่ปลัดฯ คนดังกล่าวไม่ทำตาม ใช้วิธีลาออก จากนั้นมีการตั้งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยอาวุโสอันดับสามมาทำหน้าที่แทน และก็ลงนามยกเลิกคำสั่งทำให้ที่ดินอัลไพลน์อยู่ในครอบครองของเอกชน ไม่กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ และนายยงยุทธ ก็ต้องรับกรรมจากการกระทำของตัวเอง ศาลฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้เอกชน แม้จะได้ดิบได้ดีทางการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รองนายกฯและรมว.มหาดไทยในยุคยิ่งลักษณ์ แต่จุดจบก็ไม่สวยจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่พ้นผิดไปคือนายเสนาะ สาเหตุมาจาก ป.ป.ช.ส่งฟ้องช้าจนใกล้จะหมดอายุความ สุดท้ายนำตัวนายเสนาะไปศาลให้ทันอายุความไม่ได้ จึงยกฟ้องไปเพราะคดีขาดอายุความ
อย่าใช้ภาษี ปชช.เยียวยาอัลไพน์
“การที่พูดถึงเรื่องเยียวยา และนายทักษิณออกมาระบุว่าต้องมีการชดเชย ผมไม่เห็นด้วยที่จะเงินภาษีของประชาชนไปจ่าย แนะนำว่ารัฐบาลควรเห็นอกเห็นใจรายเล็กรายน้อยตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญไปช่วยว่าจะฟ้องร้องใคร จัดการคนที่หลอกขายที่ดินที่มีปัญหา เพื่อเรียกค่าเสียหายคืนกับคนที่เล่นแร่แปรธาตุตามลำดับให้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายทั้งแพ่งและอาญา ผมคิดว่านายทักษิณมีปัญญาที่จะมีนักกฎหมายที่จะไปเล่นงานนายเสนาะ หรือบอัลไพน์ฯ ที่ขายที่ดินให้ และถ้าเขาบอกมึงก็รู้อยู่แก่ใจจะมาเอาเงินคืนได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าร่วมกัน แต่ถ้ายืนยันตัวเองบริสุทธิ์ก็ต้องไปเล่นงานเรียกค่าเสียหายกับบ.ที่ขายที่ดินให้ ไม่ใช่มาเอาภาษีของพวกเราไปชดเชย” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
เชื่อ ”แพทองธาร“ หนีผิดไม่พ้นปม ”จริยธรรม“
นักวิชาการอาวุโสท่านนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงการครอบครองที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ด้วยว่า น่าจะเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง แม้จะมีการโอนหุ้นไปให้กับมารดาคือคุณหญิงพจมานแล้วก็ตาม เนื่องจากการทำธุรกรรมบ.นี้มีปัญหามาตั้งแต่การใช้ชื่อ รปภ. แม่บ้าน คนขับรถนายทักษิณ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นจริงคือคุณหญิงพจมานกับน.ส.พิณทองทาและแพทองธาร และถามว่าน.ส.แพทองธาร ที่เป็นถึงนายกฯ จะไม่ทราบเลยหรือว่าที่ตรงนี้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ถ้ารู้แล้วยังครอบครองและปกปิดที่มาไปโอนให้มารดา จะถือว่ามีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลและผิดจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช.
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่รีบปิดจบคืนที่ธรณีสงฆ์ เพราะอยากช่วยเคลียร์ปัญหาให้กับน.ส.แพทองธารที่ถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบจริยธรรมหรือไม่นั้น รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เห็นว่า เป็นไปได้ เพราะคนพวกนี้จะเซียนมาก จึงคิดว่าบ้านเมืองจะเดินได้เมื่อองค์กรอิสระ ศาลตรงไปตรงมา อย่าไปกลัว
ปลุกทุกฝ่ายอย่ากลัว ”ทักษิณ“
“ตอนนี้ทำตัวใหญ่เกินเบอร์ เหมือนกับข่มขู่คนไปหมด ผมคิดว่าถ้ากลัวบ้านเมืองจะไปยังไง เรามีนายกฯ เป็นผู้บริหารสูงสุด ไม่ใช่มีคนอีกชั้นหนึ่งมีอำนาจเหนือนายกฯ ทำให้ประเทศไทยตอนนี้ดูแล้วไม่แตกต่างกับกัมพูชา ที่ฮุนเซนเป็นผู้นำสูงสุด อยู่หลังฉากลูกชายที่เป็นนายกฯ ผมอยากเรียกร้องไปยังฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง สส.และสว.ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง คุณอยู่ร่วม ครม.กันได้อย่างไร กับรัฐบาลที่ต้องฟังคำสั่งจากนักโทษที่โกงแม้กระทั่งการติดคุก พรรคการเมืองต้องมีศักดิ์ศรีพอสมควร ไม่อย่างนั้นประชาชนจะรู้สึกว่าเลือกเข้าไปแต่ไม่ทำหน้าที่ ฝ่ายค้านอย่ารอแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องแสดงความเห็นเพื่อรักษาความถูกต้องด้วย สุดท้ายผมคิดว่าองค์กรอิสระและศาลต้องเป็นที่พึ่งได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ครอบงำแต่ครอบครองตามคำพูดของนายทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว หนักหนาสาหัสขัดรธน.ขัดระบบการปกครองอย่างชัดเจนที่สุด ถ้าองค์กรที่มีหน้าที่ไม่ทำหน้าที่บ้านเมืองก็จะมีปัญหา” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่องค์กรอิสระกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะมีกรรมการในองค์กรอิสระหลายหน่วยงานครบวาระต้องเลือกกันใหม่ โดยอำนาจในการเลือกอยู่ในมือของ สว.ซึ่งมีพรรคภูมิใจไทยคุมเกมอยู่ จะส่งผลต่อการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระในอนาคตหรือไม่นั้น รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เห็นว่า ถ้าทุกฝ่ายไม่ทำหน้าที่ของตัวเองก็น่าเศร้าใจ ตนเคยเป็นวุฒิสภามาก่อน เรามีหน้าที่ในการตรวจสอบ ประคับประคองให้รัฐบาลต้องทำตามรธน. เหมือนเป็นผู้พิทักษ์รธน. ฝ่ายบริหารต้องทำตามกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง วุฒิสภาไม่ใช่ข้าราชการประจำ คอยเอาใจฝ่ายการเมือง แต่ต้องเป็นผู้ตรวจสอบ การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ก็ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ให้เกิดการคานและดุลอำนาจ ไม่ใช่คิดแต่ตัวเอง กลัวทักษิณ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นบ้านเมืองก็น่าเศร้า