ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงเทขายหนัก ดัชนี SET ดิ่ง 16% ตั้งแต่ต้นปี 2025 จนสำนักข่าว บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่าตลาดหุ้นไทยมีผลการดำเนินงาน แย่ที่สุดในโลก จาก 92 ดัชนีที่ติดตาม นักวิเคราะห์ระบุว่าการไหลออกของทุนต่างชาติกว่า 1.4 แสนล้านบาท เป็นตัวสะท้อนความเชื่อมั่นที่ถดถอยของนักลงทุน
การร่วงลงของตลาดทุนไม่ได้เป็นแค่ปัญหาระยะสั้น แต่มันคือสัญญาณของ “ความล้มเหลวทางโครงสร้าง” ที่รัฐบาลแพทองธารต้องเร่งแก้ไข แต่คำถามคือ… รัฐบาลตอบสนองได้เท่าทันหรือยัง?
บลูมเบิร์กชี้ไทยแย่สุดในโลก – นักลงทุนเทขายไม่หยุด
จากข้อมูลของ บลูมเบิร์ก ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ได้แก่
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ – นโยบายที่ยังไร้ทิศทางทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
หนี้ภาคครัวเรือนสูงลิ่ว – คนไทยเผชิญภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
การไหลออกของทุนต่างชาติ – นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง ส่งผลให้สภาพคล่องของตลาดลดลง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก – ทำให้ความน่าสนใจของตลาดไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย
สถานการณ์นี้บ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่เพียงขาดเสถียรภาพ แต่ยังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาคด้วย
รัฐบาลแพทองธารขยับ – แต่เท่าทันหรือไม่?
เมื่อเผชิญกับกระแสเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งขยับ เรียกประชุมหน่วยงานสำคัญ เมื่อไม่นานมานี้ ประกอบด้วย
ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำชับให้ใช้กฎหมายเด็ดขาด ปราบปรามพฤติกรรมปั่นหุ้นและสร้างเสถียรภาพให้ตลาด ผลักดันกองทุน Thai ESG Extra เพื่อดึงเม็ดเงินกลับเข้าตลาด พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน
แต่… นโยบายเหล่านี้เพียงพอหรือไม่? เพราะดูเหมือนจะเป็นเพียงมาตรการแก้ปัญหาชั่วคราว โดยยังไม่แตะโครงสร้างสำคัญที่เป็นปัญหาของตลาดทุนไทย
ดร.นณริฏ เตือน: แจกเพลิน ระวัง “ตายเพราะหนี้บัตรเครดิต”
ก่อนหน้านี้ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI ให้สัมภาษณ์ผ่าน The Publisher ระบุว่า การที่รัฐบาลไทยพยายามใช้มาตรการระยะสั้น เช่น การให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีกับนักลงทุนใน กองทุน Thai ESG Extra อาจช่วยกระตุ้นตลาดได้เพียง 1-2 วัน ก่อนที่หุ้นจะร่วงลงอีก
“ตลาดหุ้นไม่ได้แย่เพราะปัจจัยระยะสั้น แต่มันคือปัญหาเชิงโครงสร้าง”
เขาชี้ว่า ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อันตราย โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ตัวเลขที่น่ากังวล คือหนี้ครัวเรือนไทยแตะ 90% ของ GDP และ คนไทยจำนวนมากเริ่มผิดนัดชำระหนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง แต่รัฐบาลยังคงเน้นนโยบายแจกเงิน เอาเงินในอนาคตมาใช้ เหมือนเป็นหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นไม่พอ ก็เพิ่มวงเงิน “สุดท้ายจะตายเพราะหนี้บัตรเครดิต หากรัฐบาลยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน โดยไม่มีการแก้ปัญหาโครงสร้าง อีกไม่นานเราอาจซ้ำรอย “อาร์เจนตินา” ที่เศรษฐกิจล่มสลายเพราะนโยบายประชานิยม”
ตลาดหุ้นไทยสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้
นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยไม่ใช่แค่เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เพราะ ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ เช่น เวียดนาม – ตลาดหุ้นโตต่อเนื่องจากการลงทุนภาคอุตสาหกรรม และเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อินโดนีเซีย – ตลาดหุ้นแข็งแกร่งจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม และนิกเกิล ทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและสามารถดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ
ขณะที่ไทยยังไม่มีความเย้ายวนใด ที่จะดึงดูดนักลงทุน นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลยังขาดความชัดเจน พึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปทำให้การเติบโตไม่มั่นคง ไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนจึงเลือกลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า เพราะตลาดหุ้นไทยไม่เพียงไม่มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะให้เงินทุนต่างชาติกลับมาเท่านั้น แต่ทุนไทยยังมีแนวโน้มไหลออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วย
ไทยกำลังเผชิญวิกฤตที่ลึกกว่าที่คิด
บลูมเบิร์กชี้ ตลาดหุ้นไทยแย่ที่สุดในโลก – นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายหุ้น
ดร.นณริฏ เตือนว่า หนี้ครัวเรือนกำลังเป็น “ระเบิดเวลา” ของเศรษฐกิจ
แพทองธารขยับแล้ว แต่ยังเป็นแค่การแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่แตะปัญหาโครงสร้าง
หากไทยยังไม่มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดทุนให้แข่งขันได้ ประเทศจะติดอยู่ในกับดักของความล้าหลังในภูมิภาค
ทางเดินที่ต้องเลือก “ปรับโครงสร้าง” ไม่ใช่ “แก้ปัญหาวันต่อวัน”
คำถามสำคัญที่รัฐบาลต้องตอบ ไทยจะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในตลาดทุนได้อย่างไร? จะจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างไร ก่อนที่มันจะกลายเป็นวิกฤติเต็มรูปแบบ? จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตระยะยาวได้หรือไม่?
หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าแบบ “แก้ปัญหาวันต่อวัน” โดยไม่มีวิสัยทัศน์ในระยะยาว อย่าว่าแต่ทำให้เศรษฐกิจโต 5 % เลย…แค่ดึงตลาดหุ้นไทยออกจากตำแหน่ง “แย่ที่สุดในโลก” ก็นับว่ายากแล้ว
รัฐบาลต้องรีบคิด รีบแก้เกม และต้องคิดให้ไกลกว่าการเอาตัวรอดรายวัน!

