เป็นอีกครั้งที่ “ทักษิณ” โชว์พาวเวอร์แสดงบทบาทในเชิงอำนาจ แม้ไร้ตำแหน่งในรัฐบาล
คราวนี้เขาทำผ่านนโยบายปราบยาเสพติดที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตน…การใช้อำนาจแบบทักษิณ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!
“เราไม่ควรปรานีกับศัตรู”
คือถ้อยคำจากคนที่ไม่เคยนอนคุกแม้แต่วันเดียวแม้ต้องโทษ 1 ปี และกำลังถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น
แต่เขาได้รับเชิญไปยืนตระหง่านบนเวทีประกาศสงครามยาเสพติดกลางเวทีที่เต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูงทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการ
วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 — ในการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ณ สำนักงาน ป.ป.ส. อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ไร้ตำแหน่งในรัฐบาล แต่มีสถานะเป็น “พ่อนายกฯ” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ได้ลุกขึ้นกล่าวปาฐกถาที่เต็มไปด้วยการกำหนดนโยบายรัฐ
เขาไม่เพียงรีแบรนด์สงครามยาเสพติดในฉบับปี 2568 แต่ยังส่งสัญญาณชัดว่า กำลังสวมบทผู้บริหารสูงสุดอีกครั้ง โดยไม่ต้องมีตำแหน่งรัฐ
อำนาจที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ แต่ทรงอิทธิพลที่สุดในรัฐบาล
คำถามสำคัญคือ ทักษิณเหมาะสมที่จะขึ้นเวทีแบบนี้หรือไม่?
เพราะเขาไม่ได้มีตำแหน่งแม้แต่ในคณะกรรมการชุดใดของรัฐ เป็นเพียงอดีตผู้ต้องขังที่เพิ่งพ้นโทษ และยังมีคดี 112 ค้างอยู่ในชั้นศาลฯ
“ผมจะรับอาสานายกอิ๊งค์ ไปเยี่ยมชาวบ้าน… ถ้าเห็นตรงไหนไม่ดี จะฟ้องปลัดมหาดไทยเอง”
ถ้อยคำเช่นนี้ ไม่ได้สะท้อนบทบาท “พ่อของนายกรัฐมนตรี” แต่คือการสวมบท “นายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัย” กลางที่ประชุมราชการ
- กระทรวงมหาดไทย: เสนอให้จัดการพื้นที่ “สีขาว”
- กระทรวงการต่างประเทศ: ให้ไปเจรจากับว้าแดง
- กระทรวงกลาโหม: ขอให้ทหารช่วยซีลชายแดน
- กระทรวงสาธารณสุข: เสนอจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติดทุกอำเภอ
- ศึกษาธิการ: เสนอให้ปฏิรูปการสอนแบบญี่ปุ่น เป็นโรดแมปสั่งการ“ยึดพื้นที่ทางนโยบาย”แบบเบ็ดเสร็จที่ควรออกจากปากนายกฯ
ไม่ใช่ “พ่อนายกฯ”
—————–
จาก “ว้าแดง” ถึงปลัดฯ แขวนเสื้อ: วาทกรรมการรวมศูนย์แบบทักษิณ
บทวิเคราะห์หลายชิ้นอาจมองว่าทักษิณกลับมาใช้วาทกรรมเดิม เช่น การจัดการ “ว้าแดง” ที่เป็นแหล่งผลิตยาเสพติด หรือการพูดถึง “พ่อค้ายาที่อยู่ในหมู่บ้าน”
แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือ เขาเสนอวิธีบริหารแบบอำนาจนิยมเต็มรูปแบบ:
- เอกซเรย์ทุกตารางนิ้วของประเทศ
- ประกาศพื้นที่ “สีขาว” พร้อมรางวัล
- ถ้าใครไม่ทำงาน “แขวนเสื้อไว้”
- กอ.รมน. ต้องเด็ดขาด ไม่งั้น “ยุบเถอะ”
ทักษิณไม่ได้เสนอการปฏิรูประบบ
เขาเสนอ “การจัดการรัฐแบบ CEO” โดยเขาคือ CEO คนนั้น
สงครามรอบใหม่ ที่ไม่เคยสะสางบัญชีเลือดในอดีต
ไม่มีช่วงใดในปาฐกถาที่ทักษิณเอ่ยถึง ความสูญเสียจากสงครามยาเสพติดในปี 2546–2547
ไม่มีการกล่าวถึง 2,873 ศพที่ยังไม่เคยมีใครรับผิดชอบ
ไม่มีการทบทวนบทเรียนว่า การใช้ความรุนแรงที่ปราศจากความยุติธรรม ทิ้งบาดแผลอะไรไว้ให้กับสังคมไทยบ้าง
ในทางกลับกัน เขาเสนอภาพเดิม ด้วยภาษาที่ดุดันขึ้น:
“ถ้าเพื่อนบ้านจัดการไม่ได้ เราต้องขอจัดการเอง”
“ใครยุ่งกับยาเสพติด คือศัตรูของประเทศไทย”
นี่คือวาทกรรมสงคราม ที่ใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือ
ความเงียบของข้าราชการ = ความยินยอมของระบบ
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เนื้อหาในปาฐกถา คือบรรยากาศของผู้ฟัง —
รัฐมนตรี ตำรวจ ปลัดกระทรวง ข้าราชการระดับสูง ล้วนเข้าร่วม
และบางคนถึงขั้น “พยักหน้า หัวเราะ ยิ้มรับ”
เหมือนกับว่านี่คือการกลับมาของผู้นำที่พวกเขาคุ้นเคย
ถ้าระบบราชการยังมองการขึ้นเวทีของทักษิณว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
เราอาจกำลังเห็นการผนวกตัวของอำนาจนอกระบบเข้ากับราชการอีกครั้ง
ทักษิณเคยกล่าวหาว่า มีผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ คอยจัดการเขา
แต่วันนี้เขากลับทำตัวเป็น ผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ครอบงำการบริหารประเทศ โดยไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ในทางกฎหมาย
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องยาเสพติด แต่นี่คือการเทคโอเวอร์นโยบายรัฐ
ปาฐกถานี้ไม่เพียงเสนอแนวทางการจัดการยาเสพติด
แต่มากไปกว่านั้นคือ การปักหมุดอำนาจนำใหม่อย่างเป็นทางการของรัฐบาลชุดนี้
ทักษิณพูดแทน มท. พูดแทน สธ. พูดแทน กห. และแม้กระทั่ง ศธ.
มีการสั่งงาน เสนอแผน และวางกรอบงบประมาณ 157,000 ล้านบาท
นี่ไม่ใช่คำปราศรัยจากอดีตนักโทษ
แต่นี่คือโรดแมปของรัฐบาล ที่ต้องตั้งคำถามว่า กฎหมายเปิดช่องให้เขาทำเช่นนี้ได้หรือ
หรือการเมืองเปิดช่อง เพราะผู้มีอำนาจตามกฎหมายคือลูกสาวตัวเอง
แต่นี่คือระบบที่เราต้องการให้ประเทศเป็นจริง ๆ หรือ
1 ประเทศ 2 นายกฯ ?
