ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เผยเบื้องหลังการต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ที่ทำให้ไทยไม่ตกเป็นเหยื่อการเปิดตลาดบุหรี่ตามเงื่อนไขของบริษัทข้ามชาติ ผ่านบทความล่าสุด “เมื่อบริษัทบุหรี่ข้ามชาติยืมมือรัฐบาลอเมริกาเปิดตลาดบุหรี่ทั่วโลก” ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2568
หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1964 ว่า “การสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งปอด” บริษัทยาสูบอเมริกันเผชิญกับแรงต้านและมาตรการควบคุมภายในประเทศ จึงเริ่มขยายตลาดออกนอกประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคละตินอเมริกา และต่อมาในเอเชีย
⸻
มาตรา 301: กฎหมายการค้าที่กลายเป็นอาวุธของบริษัทยาสูบ
ช่วงกลางทศวรรษ 1980 บริษัทยาสูบข้ามชาตินำโดย ฟิลิป มอร์ริส หันมาใช้ กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 ปี 1974 เป็นเครื่องมือ โดยกฎหมายนี้เปิดทางให้บริษัทเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกาเจรจากับประเทศคู่ค้า หากเห็นว่าสินค้าของตนไม่ได้รับความเป็นธรรม
เมื่อประธานาธิบดีรับคำร้อง สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะเปิดเจรจา และหากคู่ค้าไม่ยอม “แก้ไขการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม” สหรัฐฯ สามารถตอบโต้ทางการค้าด้วยมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า
⸻
ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้: บทเรียนจากการเปิดตลาดบุหรี่
บริษัทบุหรี่กล่าวหาว่าโรงงานยาสูบของรัฐในประเทศต่าง ๆ เป็นการผูกขาด เช่นเดียวกับในไทย ปี 1985–1988 ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ต้องเปิดตลาดให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ โดยมีข้อตกลงพิเศษ เช่น
• ยกเว้นภาษีนำเข้าบุหรี่
• ห้ามออกกฎหมายควบคุมยาสูบหากไม่ได้รับความเห็นชอบจาก USTR
• ต้องให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติมีส่วนแบ่งตลาด “เพียงพอ” ก่อนออกมาตรการควบคุมใด ๆ
ผลลัพธ์คือการเพิ่มขึ้นของการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิง ทำให้กลุ่มสุขภาพในประเทศเหล่านี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง
⸻
ไทยไม่ยอมจำนน: การรวมพลังของเอเชียแปซิฟิก
ปี พ.ศ. 2532 เมื่อประธานาธิบดีจอร์จ บุช ซีเนียร์ ขู่ใช้มาตรา 301 บังคับไทยเปิดตลาดบุหรี่ กลุ่มสุขภาพจากญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ร่วมกับภาคีจากอีก 6 ประเทศ รวมถึงไทย ได้ประชุมกันที่ไทเป ก่อตั้งเครือข่าย Asia Pacific Association for Tobacco Control (APACT)
เป้าหมายเฉพาะหน้า: ให้ไทยเป็นประเทศสุดท้ายที่ถูกบังคับเปิดตลาดบุหรี่ และระยะยาวคือการรณรงค์ลดการสูบบุหรี่ในเอเชียแปซิฟิก
กลุ่มนี้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีบุช เรียกร้องให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในเดือนกันยายน 2532 โดยมี ศ.นพ.ประกิต, ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ นพ.หทัย ชิตานนท์ ร่วมเวทีสำคัญนี้
⸻
เสียงจากภายในอเมริกา: การต่อต้านบริษัทบุหรี่
ขณะเดียวกัน กลุ่มสุขภาพในสหรัฐฯ ก็ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลตัวเองที่ทำหน้าที่เหมือน “ล็อบบี้ยิสต์” ให้บริษัทบุหรี่ โดยร่วมกับพรรคเดโมแครต ต่อต้านการใช้มาตรา 301 เปิดตลาดบุหรี่ ส่งผลให้ ศ.นพ.ประกิต ได้รับเชิญไปให้การต่อคณะกรรมาธิการสภาคองเกรสและวุฒิสภา 2 ครั้ง ในเดือนพฤษภาคม 2533
⸻
ไทยรอด “กับดักบุหรี่” ด้วยการยืนหยัดทางการค้า
ภายใต้แรงกดดันจากภายในและนอกประเทศ ไทยปฏิเสธการเจรจาแบบทวิภาคีกับ USTR และยื่นเรื่องต่อเวทีพหุภาคี “แกตต์” (GATT – ปัจจุบันคือ WTO) แทน
แม้ไทยต้องเปิดตลาดบุหรี่ แต่ยังคงมาตรการสำคัญไว้ได้ เช่น
• เก็บภาษีนำเข้าบุหรี่ 30% (แทนที่จะเป็น 0% ตามข้อเรียกร้องของบริษัทยาสูบ)
• คงกฎหมายห้ามโฆษณาบุหรี่ ไว้ได้อย่างเข้มแข็ง
⸻
บันทึกประวัติศาสตร์การค้าบุหรี่
ศ.นพ.ประกิต ได้รวบรวมรายละเอียดเหตุการณ์ไว้ในหนังสือ “สงครามการค้ายาสูบ” ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2550 ซึ่งยังคงมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และการเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพจนถึงปัจจุบัน
“มีเกล็ดที่น่าสนใจมากมายระหว่างทางการต่อสู้เรื่องนี้ มีโอกาสจะเขียนเล่าสู่กันฟังครับ”
– ศ.นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ
⸻
ที่มา:
บทความ “เมื่อบริษัทบุหรี่ข้ามชาติยืมมือรัฐบาลอเมริกาเปิดตลาดบุหรี่ทั่วโลก” โดย ศ.นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ, วันที่ 20 กรกฎาคม 2568
#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#ประกิตวาทีสาธกกิจ#มูลนิธิเพื่อการไม่สูบบุหรี่#บริษัทยาสูบข้ามชาติ

