
การเก็บภาษีนำเข้าที่ประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 เป็นนโยบายที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผ่านกรอบแนวคิด Realpolitik ซึ่งเน้นการใช้พลังอำนาจและผลประโยชน์แห่งชาติเป็นตัวกำหนดนโยบายมากกว่าอุดมการณ์หรือความร่วมมือระหว่างประเทศแบบเสรีนิยม บทความนี้จะวิเคราะห์ที่มาของอัตราภาษี 19% โดยเปรียบเทียบกับระบบภาษีของประเทศไทย และสำรวจผลกระทบต่อการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในบริบทของโลกที่เผชิญกับความท้าทายใหม่จากนโยบายของทรัมป์ โดยเชื่อมโยงกับแนวคิด Realpolitik เพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ และปฏิกิริยาของนานาชาติ
การเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา: วัตถุประสงค์และกลยุทธ์ในกรอบ Realpolitik
การกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 19% โดยสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (Bown, 2025) แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับหลักการ Realpolitik ที่เน้นการรักษาอำนาจและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ ทรัมป์ได้ใช้ภาษีนี้เป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลการค้า โดยเฉพาะกับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ เช่น ไทย ซึ่งในปี 2024 มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (SCB EIC, 2025) อัตราภาษี 19% จึงถูกออกแบบมาเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าให้ยอมรับเงื่อนไขการค้าที่เอื้อต่อสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกันหรือการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของทรัมป์ที่มุ่ง “นำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจกลับคืนมา” (White House Statement, 2025)
แนวคิด Laffer Curve ซึ่งทรัมป์นำมาใช้เป็นรากฐานทางทฤษฎี ระบุว่าอัตราภาษีที่เหมาะสม (ในกรณีนี้ 19%) จะเพิ่มรายได้รัฐโดยไม่ทำลายการค้าโลกอย่างสิ้นเชิง (Gale & Samwick, 2025) อย่างไรก็ตาม ในมุมมอง Realpolitik อัตราดังกล่าวไม่ใช่แค่การคำนวณทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการแสดงพลังเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ท่ามกลางการแข่งขันกับจีน ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 145% ในบางช่วง (BBC, 2025) การตั้งภาษี 19% กับไทยและบางประเทศในอาเซียนจึงเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ พร้อมใช้ “ไม้แข็ง” กับพันธมิตรที่ยังไม่ยอมจำนนต่อนโยบายการค้าใหม่
เปรียบเทียบกับระบบภาษีในประเทศไทย: ความแตกต่างเชิงโครงสร้าง
ระบบภาษีของประเทศไทยมีลักษณะแตกต่างจากสหรัฐฯ อย่างชัดเจน โดยเน้นการเก็บภาษีภายในประเทศเป็นหลัก ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอัตราตั้งแต่ 0% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับรายได้ (Revenue Department, 2025) ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ 20% สำหรับกำไรเกิน 3 ล้านบาท ด้านภาษีการค้า ประเทศไทยเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ยไม่เกิน 10% และมีส่วนลดหรือยกเว้นภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หรือกรอบ WTO (DITP, 2025) สัดส่วนรายได้จากภาษีการค้ากับไทยคิดเป็นเพียง 5.2% ของรายได้รัฐบาลทั้งหมดในปี 2024 (Ministry of Finance, 2025) เทียบกับสหรัฐฯ ที่คาดหวังรายได้ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 15% ของรายได้รัฐบาลจากภาษีนำเข้า (Bown, 2025)
ความแตกต่างนี้สะท้อนถึงบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างกัน สหรัฐฯ ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเชิงรุกเพื่อควบคุมการค้าโลก ตามหลัก Realpolitik ที่เน้นการครอบงำ ในขณะที่ไทยพึ่งพาการค้าเสรีและการส่งออก (คิดเป็น 60% ของ GDP ในปี 2024) (World Bank, 2025) ทำให้การเผชิญกับภาษี 19% ของสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่อาจกระทบต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่า 18.3% ของการส่งออกทั้งหมด (SCB EIC, 2025)
การวิเคราะห์ผ่านกรอบ Realpolitik: สหรัฐฯ ทรัมป์ และโลกที่เปลี่ยนแปลง
ในกรอบ Realpolitik ซึ่งเน้นว่าการเมืองระหว่างประเทศเป็นสนามแห่งการแสวงหาอำนาจ (Mearsheimer, 2016) การเก็บภาษี 19% ของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์เป็นการแสดงถึงการฟื้นฟูอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ท่ามกลางการแข่งขันกับจีน ซึ่งในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในการเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลก (IMF, 2025) ทรัมป์ใช้ภาษีนี้ไม่เพียงเพื่อป้องกันการสูญเสียส่วนแบ่งตลาด แต่ยังเพื่อบีบให้พันธมิตรอย่างไทยต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรักษาอิทธิพลภูมิรัฐศาสตร์
การตั้งภาษี 19% ยังสะท้อนถึงการคำนวณอำนาจต่อรอง โดยพิจารณาจากดุลการค้าที่ขาดดุลของสหรัฐฯ กับไทย (46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และความสามารถของไทยในการตอบโต้ ซึ่งจำกัดด้วยขนาดเศรษฐกิจ (GDP ไทยราว 543,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับสหรัฐฯ 27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024) (World Bank, 2025) ผลจากนโยบายนี้ทำให้ไทยต้องเจรจาเพื่อลดภาษี เช่น ข้อเสนอเปิดตลาดสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงการยอมจำนนบางส่วนตามหลัก Realpolitik ที่อ่อนแอกว่าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ผลกระทบทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
ผลกระทบทางการเมือง
การเก็บภาษี 19% สร้างแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะไทย ซึ่งรัฐบาลต้องรับมือกับความไม่พอใจของผู้ส่งออก (คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด) และเกษตรกร (SCB EIC, 2025) นโยบายนี้ยังทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรในอาเซียน โดยอาจนำไปสู่การแตกแยกในกลุ่ม หากบางประเทศยอมรับเงื่อนไขสหรัฐฯ ขณะที่บางประเทศหันไปพึ่งจีน ในแง่ภายในสหรัฐฯ นโยบายนี้เสริมฐานสนับสนุนของทรัมป์จากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการการป้องกันการแข่งขันจากต่างชาติ
ผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์
ในระดับโลก การเก็บภาษี 19% กระตุ้นให้เกิดการปรับสมดุลอำนาจใหม่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยเป็นส่วนหนึ่ง อาจกลายเป็นสมรภูมิระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยจีนอาจใช้โอกาสนี้เสนอข้อตกลงการค้าที่เอื้ออำนวยเพื่อดึงพันธมิตร เช่น การริเริ่ม RCEP หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ที่ขยายอิทธิพลในปี 2025 (Xinhua, 2025) สหรัฐฯ อาจสูญเสียอิทธิพลในอาเซียนหากไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรผ่านการเจรจาได้สำเร็จ ข้อมูลจาก IMF (2025) ชี้ว่าการค้าในเอเชียอาจหดตัว 2.5% หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ การใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ Realpolitik อาจนำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มการค้าต้านสหรัฐฯ เช่น ความร่วมมือระหว่าง EU และจีน ซึ่งในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่าการค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองจะเพิ่มขึ้น 15% (European Commission, 2025) ประเทศไทยอาจต้องเลือกจุดยืนระหว่างการยอมจำนนต่อสหรัฐฯ หรือการผสานอำนาจกับจีน ซึ่งจะส่งผลต่อบทบาทในภูมิรัฐศาสตร์ระยะยาว
สรุป: โลกภายใต้เงาของทรัมป์และ Realpolitik
การเก็บภาษี 19% ของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ไม่ใช่แค่การคำนวณเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ตามหลัก Realpolitik เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของชาติท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง ประเทศไทยและชาติอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากดุลการค้าและขนาดเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ผลกระทบทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการค้าโลก โดยสหรัฐฯ อาจชนะในระยะสั้นผ่านการกดดัน แต่ในระยะยาวอาจสูญเสียพันธมิตรหากไม่สามารถสร้างความสมดุลที่ยอมรับได้ โลกในปี 2025 จึงเป็นเวทีแห่งการต่อสู้เพื่ออำนาจผ่านภาษี ซึ่งสะท้อนถึงยุคสมัยของ Realpolitik ที่ทรัมป์เป็นผู้กำหนดทิศทาง

