Author: Writer Publisher

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ชี้แจงการยื่น 3 เงื่อนไขเพื่อยกมือสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยระบุผู้ที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีเสียง สส.กึ่งหนึ่งหรือ 247 จาก 492 คน และสถานการณขณะนี้ พรรคภูมิใจไทย ดึงพรรคกล้าธรรมพร้อมงูเห่าได้แล้ว 31 เสียง กลุ่มนายสุชาติ ตันเจริญอีก 18 เสียง เท่ากับฝั่งพรรคเพื่อไทยจาก 259-31-18 = 210 เสียง ฝั่งพรรคภูมิใจไทย 69+20+1+1+31+18 = 140 เสียง หากพรรคประชาชนตัดสินใจงดออกเสียง ไม่ร่วมตัดสินใจ ประเทศจะไม่มีทางได้นายกรัฐมนตรี เพราะเสียงไม่ถึง 247 เสียง และเมื่อพรรคประชาชนเสนอ 3 เงื่อนไขคือ เป็นนายกฯ เพื่อนำไปสู่การยุบสภา ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วย ส.ส.ร. โดยพรรคประชาชนไม่ขอร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทยต่างรับเงื่อนไข “พรรคประชาชนต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองก็จะถึงทางตัน ติดหล่มรัฐธรรมนูญ 2560” นายวิโรจน์วิเคราะห์ต่อว่า อีกทางออกคือ พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายกฯ คนอื่นที่ไม่ใช่นายชัยเกษม นิติสิริ เพื่อดึงเอาเสียงฝั่งพรรคภูมิใจไทยกลับมารวมกันเกิน 246 เสียง ชื่อที่มีน้ำหนักเพียงพอ แถมสามารถดึงเอาเสียงจากพรรคพลังประชารัฐได้อีก มีอยู่เพียงคนเดียวคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงพรรคประชาชน แต่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพรรคประชาชนคือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ยุบสภา ดังนั้นเมื่อพรรคประชาชนต้องตัดสินใจ คือ ถ้าไม่เลือก บ้านเมืองก็ไปไม่ได้ ก็คงต้องพิจารณาว่าทางเลือกไหนก่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด และคงต้องจำใจเลือกทางนั้น จึงต้องออก TOR มากำกับแนวทาง และยอมรับว่าเผื่อใจไว้ล่วงหน้าว่าโอกาสจะถูกตระบัดสัตย์หักหลังไม่ว่าจะเลือกทางไหนจาก 2 ทาง “ถ้าจำเป็นต้องเลือก ก็ต้องกล้าหาญที่จะเลือกทางที่บ้านเมืองเสียหายน้อยที่สุด มีกลไกที่รัดกุมที่พอจะบังคับให้คนที่เราเลือกรักษาสัญญาได้มากที่สุด แต่ก็คงต้องทำใจว่า ลิ้นคนเราเวลาที่มันจะตระบัดสัตย์ มันก็พลิกลิ้นได้เสมอ ก็คงต้องเผื่อใจเอาไว้ล่วงหน้า” นายวิโรจน์ยังระบุตอนท้ายไว้ด้วยว่า ณ วินาทีนี้ พรรคประชาชนยังไม่ตัดสินใจเลือกทางไหน #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พรรคภูมิใจไทย #ทักษิณชินวัตร #พรรคประชาชน…

Read More

นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ”อนุทินดูจะมาแน่ แล้วหมอจะรอดไหม“ เนื้อหาระบุว่า ได้รับโทรศัพท์ให้กำลังใจและแสดงความเป็นห่วง หลังอุ้งอิ้งไม่รอดคือ “อนุทินดูจะมาแน่ หมอจะไหวไหม” ลือถึงขั้นที่ว่า “ถ้าหนูเป็นนายก ปลัดโอภาสจะขึ้นมาเป็น รมว.สาธารณสุข!!” โดยหมอสุภัทรบอก ลึกๆ เชื่อว่า กระแสที่หนูมาแน่ เพียงเพราะหนูเปิดเกมส์เร็วกว่า ซึ่งต้องดูกันต่อไป ใครๆ ก็รู้ว่าพรรคน้ำเงินนี้ คือนักฉวยโอกาสตัวยง มีผลประโยชน์เป็นธงนำ เพราะพรรคเพื่อไทยก็ใช่ว่าจะตกเป็นเบี้ยล่าง อาจรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องพึ่งเสียงสีส้มก็ได้ ถ้าไม่สำเร็จก็ไปดีลกับส้ม ตั้งใจวางกลไกแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออนาคตประเทศชาติ ฟื้นจิตวิญญาณเสื้อแดงในอดีตให้กลับมา จึงจะพอไปต่อได้ หรืออาจจำใจยุบสภาก็ได้ แม้โอกาสจะน้อย ส่วนพรรคประชาชนในวันนี้ ต้องขอแสดงความนับถือในจุดยืนผ่าทางตันประเทศ เสนอเงื่อนไข 3 ข้อโดยไม่ขอร่วมรัฐบาล ทั้งที่มีอำนาจต่อรองสูงสุด ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ระยะสั้นได้เป็นรัฐมนตรี มองเกมส์ยาว ใช้โอกาสที่สำคัญนี้แก้โครงสร้างรัฐที่เป็นอุปสรรค สร้างการเมืองแห่งอนาคต ที่เป็นความหวังฟื้นประเทศไทย “แต่ไม่ว่าใครจะไปจะมา ผมก็สู้เต็มกำลังของผม ไม่ต้องห่วง ไม่มีการเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมา เกิดมาต้องยึดมั่นในหลักการ ยิ่งในภาวะวิกฤต ยิ่งเป็นบทพิสูจน์ตัวตน อนาคตข้าราชการตัวเล็กๆอย่างผม ได้ถูกทำให้ผูกติดกับสถานการณ์ทางการเมืองอย่างแกะไม่ออกจริงๆ พับผ่าสิ!!” นายแพทย์สุภัทรระบุตอนท้าย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #หมอสุภัทรฮาสุวรรณกิจ #กระทรวงสาธารณสุข #นพโอภาสการย์กวินพงศ์ #สอบวินัยร้ายแรง #Supat #แพทย์ชนบท #อนุทินชาญวีรกูล #จัดตั้งรัฐบาล

Read More

สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือเรื่อง การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีเนื้อหาระบุว่า ด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 ปีที่ 3 ครั้งที่ 19 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง เป็นพิเศษ ในวันพุธที่ 3 กันยายน 2568 ครั้งที่ 19 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ในวันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 และครั้งที่ 20 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 09.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ทั้งนี้คาดว่าการนัดวันประชุมสภาฯ เพิ่มวันประชุมเพื่อเตรียมไว้สำหรับวิปทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันได้แล้ว ก็จะต้องมีการส่งเรื่องมายังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นสามารถบรรจุลงระเบียบวาระได้ทันที ขณะที่ความเคลื่อนไหวในการจัดตั้งรัฐบาลดูคึกคักในฝั่งของพรรคภูมิใจไทย เมื่อส่งเทียบเชิญขอเสียงพรรคประชาชนโหวตสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็มี สส.พรรคเพื่อไทยบางส่วนพลิกขั้วมาสนับสนุนนายอนุทินด้วย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พรรคภูมิใจไทย #ทักษิณชินวัตร #พรรคประชาชน #พรรคเพื่อไทย #ชัยเกษมนิติสิริ #ประชุมสภาเลือกนายกฯ #ศาลรัฐธรรมนูญ #กระดานการเมือง #พรรคร่วมรัฐบาล

Read More

โดยคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย แถลงหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคําวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ซึ่งต่างเฮลั่นหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร และ คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง สำหรับสาระสำคัญและท่าทีของคณะรวมพลังแผ่นดินคือ ถึงคําวินิจฉัยมีผลให้นางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่ง แต่พรรคเพื่อไทยยังมี นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และอาจถูกแทรกแซงจากอดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงนัดหมายชุมนุมในวันที่ 31 ส.ค. 2568 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคัดค้านและไม่เห็นด้วยที่จะให้พรรคเพื่อเป็นแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล หวั่นเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีขอให้เป็นไปตามกลไกลตามรัฐธรรมนูญในระบบรัฐสภา ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำระบุ เหตุผลที่ต้องนัดชุมนุมอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการให้ นายชัยเกษม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจะทําให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่มีวันจบสิ้น ส่วนจะเป็นใครนั้น นายจตุพรไม่ติดว่าจะเป็นแคนดิเดตคนใด ขอเพียงรับเงื่อนไขของประชาชน ที่เป็นผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง เช่นยกเลิก MOU ปี 43 และ ปี 44 ยกเลิกเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์, ยกเลิกเรื่องการขายแผ่นดิน 99 ปี, พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงินที่จะสร้างสกุลเงินขึ้นมาใหม่ “หากใครจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีถ้ารับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ ก็จะต้องเจอการขับไล่ไม่ว่าหน้าไหน” นายจตุพรกล่าว #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #รวมพลังแผ่นดิน #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #ชัยเกษมนิติสิริ #รัฐบาลแพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #กระดานการเมือง #พรรคร่วมรัฐบาล #ชุมนุมใหญ่31สิงหา

Read More

เป็นแถลงการณ์พรรคประชาชน ผ่าทางตันวิกฤตการเมืองหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ปมคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฯ ฮุนเซน โดยระบุพรรคประชาชนได้เรียกร้องให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร คืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมในการแก้ไขวิกฤตการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้าประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะรักษาอำนาจของพวกตนเองต่อไป จนกระทั่งวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง ในแถลงการณ์ระบุเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลเป็นที่สุด ทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องมีมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคประชาชนเห็นว่าขณะนี้ รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้ จะต้องมีเสถียรภาพ มีความชอบธรรมทางการเมือง และตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ด้วยเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศจึงเป็นการสรรหานายกรัฐมนตรีที่มาทำหน้าที่ยุบสภา และจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว พรรคประชาชนจึงมีภารกิจผ่าทางตันทางการเมืองด้วยกระบวนการรัฐสภา คือการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อทำหน้าที่ยุบสภา และป้องกันมิให้มีนายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือนายกรัฐมนตรีคนนอก โดย สส.พรรคประชาชน พร้อมเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ภายใต้เงื่อนไข นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. และ 3. พรรคประชาชนยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

Read More

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 36 คน ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยศาลมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งด้วย.ประเด็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและการโต้แย้งของผู้ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญยืนยันอำนาจในการวินิจฉัยคดีนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ซึ่งให้อำนาจศาลพิจารณาว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ กรณีนี้ไม่ใช่การตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามทั่วไป แต่เป็นการพิจารณาการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในบริบทการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ศาลชี้ว่าอำนาจของศาลจำกัดเฉพาะการวินิจฉัยตามคำร้อง ไม่รวมถึงข้อกล่าวหาอื่นที่ไม่ได้ระบุ.ผู้ถูกร้อง (น.ส.แพทองธาร) โต้แย้งว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะเป็นการกระทำของฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภา และเคยมีคำวินิจฉัยในอดีตที่ศาลไม่แทรกแซงการใช้อำนาจบริหาร นอกจากนี้ ยังอ้างว่าหลักฐานคลิปเสียงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบันทึกผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าตนมีอำนาจค้นหาความจริงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และคลิปเสียงดังกล่าวประกอบกับพยานหลักฐานอื่น เช่น การสัมภาษณ์สื่อมวลชน จึงรับไว้พิจารณาได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายห้ามนำหลักฐานดังกล่าวมาแสดง และผู้ถูกร้องไม่ได้โต้แย้งความถูกต้องของเนื้อหาในคลิป.การตีความคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” และมาตรฐานจริยธรรม ศาลอธิบายว่าคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5) หมายถึงการประพฤติตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่คดโกงหรือทรยศ ซึ่งเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่บุคคลทั่วไปและโดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หลักการนี้ไม่ใช่เพียงเรียกร้องให้รัฐมนตรีมีคุณธรรมส่วนตัวเท่านั้น แต่ต้องแสดงออกให้สังคมรับรู้และประจักษ์ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีพฤติกรรมเสื่อมเสียเข้ามาปฏิบัติหน้าที่รัฐ ศาลเน้นว่าคุณธรรมดังกล่าวต้องยึดถือไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใด และต้องพิจารณาจากสัดส่วนของการกระทำที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ชาติ.นอกจากนี้ มาตรฐานจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) ต้องสูงกว่าสำหรับรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร ต้องปกป้องดินแดน ศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของประเทศ การบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการติดต่อกับต่างประเทศ.ข้อเท็จจริงจากคลิปเสียงและบริบทการสนทนาจากคลิปเสียง ศาลรับฟังข้อเท็จจริงว่าการสนทนาเกิดขึ้นในช่วงความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีปิดด่านชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค…

Read More

ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่ากระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานทาง จริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาส่วนตัวกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ตามคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน.คำวินิจฉัยของศาลฯ ได้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ดังนี้.ศาลฯ มองว่าการกระทำของผู้ถูกร้องไม่เป็นไปตามคุณสมบัติดังกล่าว เนื่องจากการกระทำที่ส่งผลต่อความมั่นคง โดยเฉพาะการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง “แม่ทัพภาคที่ 2” ในลักษณะที่แบ่งแยกปัญหา และแสดงความอ่อนแอให้แก่ผู้นำต่างชาติ เป็นการสร้างความไม่เป็นเอกภาพภายในกองทัพ และเปิดช่องให้กัมพูชาสามารถนำมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของไทยได้ ซึ่งถือเป็นการทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศอย่างร้ายแรง.’การยอมจำนนล่วงหน้า’ ผ่านการใช้ถ้อยคำในลักษณะ “อยากได้อะไรให้บอก” สะท้อนถึงการยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของผู้นำต่างชาติ ซึ่งอาจมีจุดประสงค์เพื่อรักษาคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาล โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง.ศาลฯ ได้ปฏิเสธข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องที่ว่าหลักฐานคลิปเสียงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยระบุว่าศาลมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณา เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามความเป็นจริง.จากเหตุผลดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้คณะรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะไปด้วย.#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #29สิงหาชี้ชะตาแพทองธาร #ทักษิณชินวัตร #แพทองธารชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #หยุดปฏิบัติหน้าที่ #คลิปเสียงฮุนเซน #รัฐบาลแพทองธาร #ศาลรัฐธรรมนูญ #กระดานการเมือง #พรรคร่วมรัฐบาล

Read More

หลังช่วงเช้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมหารือ และลงมติ ในคำร้องที่ 36 สว.เช้าชื่อยื่นขอให้วินิจฉัย ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ล่าสุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย พร้อมถ่ายทอดสดให้ทราบทั่วกัน ขณะที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้อยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลรอฟังการอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะแถลงข่าวทันทีที่มีคำวินิจฉัย

Read More

กองกำลังบูรพา ออกประกาศกำหนดพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อยในเขตบ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ภายหลังปรากฎชาวกัมพูชาลักลอบเข้ามาก่อความไม่สงบในเขตแดนไทย อันเป็นภัยต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย และรักษาอธิปไตยของชาติ กองกำลังบูรพา จึงกำหนดมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยให้พื้นที่บ้านหนองจาน เป็นพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย ถนนศรีเพ็ญ ในพื้นที่บ้านหนองจาน เป็นแนวรักษาความสงบเรียบร้อย พร้อมกำหนดมาตรการควบคุมเพื่อความปลอดภัยใน พื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งห้ามนำอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธเข้ามาในพื้นที่ ห้ามปิดกั้นเส้นทางที่กระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการดำรงชีวิตของประชาชน ห้ามถ่ายภาพหรือบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานปฏิบัติการทางทหาร ห้ามก่อเหตุทะเลาะวิวาท หรือดื่มสุราและของมึนเมา ห้ามนำเครื่องขยายเสียงเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด และยืนยันชัดเจนต่อฝ่ายกัมพูชาว่า เขตแดนไทยเป็นพื้นที่อธิปไตยที่ไม่อาจถูกล่วงละเมิดได้ จึงกำหนดแนวทางดำเนินคดีชาวกัมพูชาที่ละเมิดมาตรการ หากบุกรุกข้ามเขตแดนไทย จะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง บุกรื้อลวดหนาม มีความผิดฐานทำลายทรัพย์สินราชการ หากเอาทรัพย์ไปด้วย เช่น ขโมยลวดหนาม จะมีความผิดฐานลักทรัพย์ของทางราชการ หากเข้าข่ายเป็นการกระทบต่อเอกราชของไทย มีความผิดตามมาตรา 119 หรือเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 119 ประกอบมาตรา 129 ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต กรณีก่อเหตุทะเลาะวิวาทในฝั่งไทย ทำร้ายร่างกาย, ฆ่าหรือพยายามฆ่า จะถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา และรับโทษอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้กองกำลังบูรพาขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย ในพื้นที่อธิปไตยของไทย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #mou43 #WarCrimes #HumanRights #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา #อนุสัญญาออตตาวาอนุสัญญาออตตาวา #กฏอัยการศึก

Read More

วันนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีกำหนดนัดประชุมเพื่อพิจารณาลงมติและจัดทำคำวินิจฉัยคดีสำคัญที่ 36 ส.ว. ยื่นขอให้วินิจฉัยสถานะความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าสิ้นสุดลงหรือไม่ จากประเด็นคลิปเสียงสนทนาล่าสุดกับสมเด็จฮุน เซน โดยคำวินิจฉัยจะถูกอ่านในช่วงบ่ายสามโมง และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ย่อมส่งผลสะเทือนต่อการเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุ นางสาวแพทองธาร ปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล และเตรียมแถลงข่าวทันทีที่มีคำวินิจฉัย ไม่ว่าผลจะ “รอด” หรือ “ไม่รอด” ก่อนที่จะเข้าพบ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และกลุ่มมวลชนที่มารอให้กำลังใจและลุ้นผลชี้ชะตาว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะยังคงอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ต่อไปหรือไม่ หากรอด..รอดแบบสะบักสะบอม หากผลคำวินิจฉัยออกมาเป็นคุณกับนางสาวแพทองธาร ขุมอำนาจของ “ทักษิณ” ก็จะได้เดินหน้าต่อไป แต่ ต้องเผชิญหน้ากับขวากหนามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากถนนของกลุ่มมวลชนต่างๆ ความเปราะบางตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หรือการกอบกู้เศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก ภายใต้ ครม.ที่ดูเหมือนจะขาดแรงขับเคลื่อน แต่กระนั้นก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่เธออาจจะตัดสินใจลาออกหลังคำวินิจฉัยได้เช่นกัน แม้ว่าหนทางนี้จะดูริบหรี่ก็ตาม หากไม่รอด ล้มทั้งกระดาน…ถึงทางตัน ในทางกลับกัน หากผลคำวินิจฉัยเป็นไปในทางลบ นั่นหมายถึงจุดจบทางการเมืองของนางสาวแพทองธารอย่างถาวร และอาจรวมถึงตระกูลชินวัตรด้วยทันที สุญญากาศทางการเมืองจะเกิดขึ้นในพริบตา เพราะนอกจากนางสาวแพทองธารจะต้องพ้นจากตำแหน่งแล้ว คณะรัฐมนตรีทั้งคณะก็ต้องพ้นตามไปด้วย เท่ากับเป็นการ “ล้างไพ่” กันใหม่ ต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของแต่ละพรรค โดยพรรคร่วมรัฐบาลยังคงมีชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากรวมไทยสร้างชาติ นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายค้านอย่างพรรคภูมิใจไทย ก็มีชื่อของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในสถานการณ์ที่เสียงในสภาปริ่มน้ำ และสัญญาณจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ดูเหมือนจะสงวนท่าทีและอึดอัดใจ หากต้องหนุน นายชัยเกษม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะจากประเด็นมาตรา 112 ทำให้การรวมเสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ดูจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าตอนที่นายเศรษฐา ทวีสิน ลงจากตำแหน่งเสียอีก ในขณะเดียวกัน การที่พรรคเพื่อไทยจะยอมยกมือให้แคนดิเดตจากพรรคอื่นก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่เหลือแต้มต่อใดๆ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไร้อำนาจในการคุมเกมการเมือง นโยบายที่เคยประกาศไว้ก็จะพังครืนลงมาไม่เป็นท่า กระแสของพรรคก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง “ลุยถั่ว” และเลือกคนที่พรรคสามารถควบคุมได้เท่านั้น รอตัดสินใจขั้นสุดท้าย ฉะนั้นเย็นวันนี้ต้องจับตาไปที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ว่าประมุขบ้านจะตัดสินใจอย่างไร ยอม “เฉือนเนื้อ” เพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลและหนุนนายชัยเกษมให้ไปต่อ หรือยอมให้ดีลล่ม พรรคร่วมฉีกสัตยาบันไปจับมือกับพรรคประชาชนเพื่อดัน นายอนุทิน…

Read More