Author: Writer Publisher

เรียกเสียงฮือฮาในโลกออนไลน์ หลังมีภาพอ้างเป็นเอกสารราชการ ประทับตราหนังสือด่วนที่สุดจาก นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ สข 0017.3/17839 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2568 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์อำนวยความสะดวก นาย เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ในหนังสือฉบับดังกล่าวระบุ เรียน นายอำเภอเมืองสงขลา ด้วยจังหวัดสงขลาได้รับแจ้งว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีกำหนดเดินทางมาราชการในพื้นที่ จังหวัดสงขลา เพื่อตรวจราชการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล และมีกำหนดเดินทางกลับไปปฏิบัติราชการ ณ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 18 สิงหาคม 2568 โดยสายการบิน.. เที่ยวบินที่… เวลา 08.25–09.50 น. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จังหวัดสงขลาจึงขอให้ท่านดำเนินการ ดังนี้ 1. เชิญนายอำเภอเมืองสงขลา ร่วมส่งนาย เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ 2. จัดเตรียมอาหารว่าง เครื่องดื่ม และเจ้าหน้าที่ ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ มีรายงานด้วยว่า ยังมีการจัดคิวให้นายอำเภอทุกอำเภอ ร่วมต้อนรับ–ส่ง นาย เดชอิศม์ ที่สนามบินหาดใหญ่เป็นรายสัปดาห์ ไล่ลำดับทุกอำเภอตั้งแต่ อ.เมืองสงขลา อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา อ.จะนะ เป็นต้น โดยปให้นายอำเภอแต่ละอำเภอจัดคนมาต้อนรับตามลำดับอีกด้วย #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#รัฐบาลแพทองธาร#เดชอิศม์ขาวทอง#กระทรวงมหาดไทย#เกณฑ์ขรกต้อนรับ

Read More

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมนำสื่อมวลชนระดับโลกลงพื้นที่กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ ในจุดที่ไทยถูกอาวุธหนักของกัมพูชาถล่ม อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียนและพื้นที่พลเรือน จากนั้น จะเชิญสื่อมวลชนระดับโลกไปยังพื้นที่ที่รวบรวมกับระเบิดที่ทางเจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้โดย TMAC ก่อนจะให้ชมการปฎิบัติการทำลายวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากการรุกล้ำอธิปไตยไทย ส่วนกรณีสำนักข่าวของกัมพูชารายงานข่าวของนายไมเคิล อัลฟาโร ชาวสหรัฐฯ ที่ไปไลฟ์สด ชายแดนกัมพูชา -ไทย ด้วยการเซ็ตฉาก และกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นสื่อมวลชนประจำทำเนียบขาวของประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา และกล่าวหาประเทศไทย ด้วยถ้อยคำรุนแรงและใส่ร้ายป้ายสีไทยด้านเดียว นายจิรายุบอกเดิมอยากเชิญนายไมเคิล ที่อ้างว่าเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวให้มาเห็นของจริงในฝั่งไทยที่โดนเขมรถล่มหนักแค่ไหน หลังไลฟ์สดโกหกใส่ร้ายป้ายสีไทยไปกับทั่วโลก และบอกว่าเป็นสื่อของรัฐบาลสหรัฐฯ จะฟ้องประธานาธิบดี ซึ่งเห็นว่าหากมาเห็นอีกมุมที่ประเทศไทยที่โดนกัมพูชาโจมตีทั้งโรงเรียน พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาลก็ เป็นประโยชน์หากเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง “แต่ขณะนี้ พบว่านายไมเคิลไม่ได้เป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาว จริงแถมยังแอบอ้างถึง ปธน.สหรัฐฯ วันนี้จึงขอบอกว่า“จบข่าว”ไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทยต่อไป” #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #รัฐบาลแพทองธาร #WarCrimes #HumanRights #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา #อนุสัญญาออตตาวา

Read More

เป็นการชี้แจงกรณีที่นายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการ CMAC อ้างว่า “ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ฝ่ายไทยนำมาแสดง และกล่าวหาว่ากัมพูชาลอบวางนั้น ยังไม่ถูกดึงสลักนิรภัย ซึ่งระเบิดที่นำไปวางต้องดึงสลักนิรภัยออกก่อน มิฉะนั้นระเบิดจะไม่ทำงาน” เรื่องนี้พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ทุ่นระเบิดที่นำมาจัดแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศได้ดู และถูกนายเฮง รัตนาอ้างว่ายังไม่ดึงสลักนิรภัยออกนั้น ถูกตรวจพบจากการเข้าตรวจค้นและทำพื้นที่ให้ปลอดภัยโดยหน่วยทหารช่าง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 บริเวณพื้นที่ภูมะเขือ ในจุดที่ทหารกัมพูชาเคยวางกำลังอยู่บริเวณดังกล่าวฝ่ายไทย โดยตรวจพบทุ่นระเบิดเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 มีทั้ง 2 ลักษณะ คือ ทุ่นระเบิดที่เก็บไว้ยังไม่ได้นำไปติดตั้ง จึงเห็นในภาพว่ายังมีสลักนิรภัยติดอยู่ และ ทุ่นระเบิดที่ติดตั้งแล้ว ซึ่งในกรณีนี้จะไม่มีสลักนิรภัย ทั้งสองลักษณะได้ถูกนำมาแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศได้ดูเมื่อวานนี้ (16 ส.ค.68) กรณีที่นายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการ CMAC ได้นำภาพมาประกอบข่าวนั้น เป็นการเลือกภาพมาเพียงบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของการพยายามนำภาพบางส่วนมาบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังให้เกิดความสับสน และมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับพยานหลักฐานของฝ่ายไทย แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผล เพราะผู้แทนจากต่างประเทศได้เห็นและสัมผัสกับของจริงทั้งหมดอย่างละเอียดและครบถ้วนแล้ว #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา #อนุสัญญาออตตาวา

Read More

เมื่อพูดถึงความสำเร็จของจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท หลายคนอาจมองไปที่ “นโยบายจากส่วนกลาง” หรือ “การสนับสนุนจากรัฐ” เป็นหลัก แต่ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เขียนเล่ามุมที่ลึกกว่านั้น — ว่าแท้จริงแล้ว หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ “ผู้นำ” ในพื้นที่ ผู้ที่กล้าทิ้งความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่ออุทิศตนทำงานเพื่อชุมชน จากกรณีศึกษาหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองจีน ศ.ดร.กนก เชื่อว่า นี่คือบทเรียนที่ประเทศไทย โดยเฉพาะ “นิคมสร้างตนเอง” ของกระทรวง พม. ต้องเรียนรู้และนำมาปรับใช้ ⸻ จีนกับบทเรียนการแก้ความยากจน ศ.ดร.กนก เล่าว่า จีนได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่าประสบความสำเร็จในการแก้ไขความยากจนในชนบท ซึ่งเป็นรากเหง้าของความเหลื่อมล้ำและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม “จีนทุ่มสรรพกำลังเพิ่มขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขความยากจนนี้จนสำเร็จ” แนวคิดสำคัญ 3 ประการของจีน ได้แก่ 1. ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง – ทุกเรื่องต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน 2. การพัฒนาไม่ใช่การสงเคราะห์ – ประชาชนต้องลุกขึ้นทำงาน ยืนด้วยขาตนเอง 3. คนแข็งแรงช่วยคนอ่อนแอ – องค์กรใหญ่ในเมืองต้องช่วยชุมชนเล็กหรือวิสาหกิจในชนบทให้แข็งแรงขึ้น ⸻ การสนับสนุนจากรัฐ : พลังขับเคลื่อนในพื้นที่ แม้การแก้จนจะเริ่มจากประชาชน แต่การลงมือทำจริงไม่อาจสำเร็จได้หากไม่มีแรงหนุนจากรัฐบาล ศ.ดร.กนก อธิบายว่า การสนับสนุนเกิดขึ้นสามด้านหลักคือ “นโยบาย คนเก่ง และงบประมาณ” เพื่อให้สิ่งที่ประชาชนทำเกิดประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในด้านการวิจัยและพัฒนา ————— เงื่อนไขของความสำเร็จ แม้จะมีหลักคิดและนโยบายสนับสนุน แต่ศ.ดร.กนก ย้ำว่า สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ “เพราะการแก้ไขความยากจนในแต่ละพื้นที่มีลักษณะเฉพาะหรือเงื่อนไขต่างกัน” เขาเล่าว่า หัวใจของความสำเร็จขึ้นอยู่กับ “ภาวะผู้นำ” — ผู้ที่ต้องทำงานหนัก ใช้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ความอดทน และเหนือสิ่งอื่นใดคือ “ความเสียสละ” ⸻ ตัวอย่างหมู่บ้านทงไฮ่: จาก “จน” สู่ “พอเพียง” กรณีหมู่บ้านในอำเภอทงไฮ่ จังหวัดยู่ซี แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากความยากจนด้วยการเพาะปลูกพืชสวนครัว ข้าวคุณภาพ และการแปรรูปผลผลิตตกเกรดให้มีมูลค่า ศ.ดร.กนก เขียนว่า “ทั้งหมดนี้พวกเขาผ่านมาได้และประกาศกับภายนอกได้ว่าประชาชนในหมู่บ้านนี้ ‘ไม่ยากจนแล้ว’ เพราะพวกเขามี ‘ผู้นำ’…

Read More

นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์เรื่อง “ผมกำลังจะถูกให้ออกจากราชการ!!” โดยเล่าถึงบทบาทที่ผ่านมา ที่คัดค้านบางเรื่องในกระทรวงสาธารณสุข และเรื่องสิ่งแวดล้อม และได้อ้างถึงนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่าอาจตั้งธงเอาผิดตนเอง หวังให้เงียบและอยู่ในโอวาท เพราะใน 3 ปีเขาถูกตั้งกรรมการสอบวินัยกว่า 10 เรื่องกระทั่งถูกสั่งย้ายโดยมิชอบไปอยู่ที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย จากนั้นได้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเรื่องการจัดซื้อ ATK แพทย์ชนบทบุกกรุง นายแพทย์สุภัทรเล่าว่าโครงการแพทย์ชนบทบุกกรุง 3 รอบ ในช่วงก.ค.-ส.ค.64 ที่โรงพยาบาลต่างๆ อาสาบุกกรุงมาตรวจ ATK ชุมชนใน กทม.ความยากที่สุดคือต้องจัดซื้อ ATK มาใช้เอง ในขณะมาตรฐาน สธ.ยังใช้ RT-PCR ดังนั้นหลายโรงพยาบาลแบ่งหน้าที่กันจัดซื้อ ATK รวมถึงตนที่จัดซื้อในนามโรงพยาบาลจะนะ (ขณะเป็น ผอ.รพ.จะนะ) โดยตรวจไปทั้งหมด 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อและได้จ่ายยาไปมากถึง 22,451 คน โดยโรงพยาบาลจะนะจัดซื้อ ATK 5 ครั้ง จึงเป็นช่องให้ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าจัดซื้อผิดระเบียบ แบ่งซื้อแบ่งจ้าง แต่โรงพยาบาลอื่นที่จัดซื้อเช่นกันไม่ถูกสอบสวน รวมถึงได้ชี้แจงอย่างละเอียดแต่ไม่เป็นผล จึงเชื่อว่ามีธงมีมติให้ออกจากราชการ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญก่อนเกษียณของนายแพทย์โอภาสในฐานะปลัดกระทรวง “ที่ผ่านมาผมพยายามชี้แจงตามระบบ ไม่เปิดเรื่องสู่สาธารณะ คิดว่าระบบราชการยังให้ความเป็นธรรมได้บ้าง แต่วันนี้ผมถูกต้อนจนเข้ามุม ถึงเวลาที่จะต้องเปิดความจริงให้สาธารณะทราบ ถ้าเชื่อมั่นในความเป็นผม “สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” เรามาสู้ด้วยกัน ระบบราชการต้องมีความเป็นธรรมให้กับข้าราชการและประชาชนได้ ประเทศจึงจะมีความหวัง” นายแพทย์สุภัทรระบุพร้อมติด #Supat #แพทย์ชนบท #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #หมอสุภัทรฮาสุวรรณกิจ #กระทรวงสาธารณสุข #นพโอภาสการย์กวินพงศ์ #สอบวินัยร้ายแรง

Read More

เป็นการชี้แจงจากเพจของกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 กรณีที่ สื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้าปลดธงชาติไทย พร้อมรื้อถอนแนวรั้วลวดหนามแบบหีบเพลง ซึ่งฝ่ายทหารไทยได้วางเป็นแนวกั้นบริเวณฐานปฏิบัติการซำแต ใกล้ปราสาทตาเมือนธม นั้น ไม่เป็นความจริง (Fake News) โดยกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงประชาชนว่าจากการตรวจสอบข้อมูล บริเวณดังกล่าวมีป้ายอักษรภาษาเขมรระบุว่า “เดโช เบาะสโบว ซำแต” ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามพื้นที่ซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 500 เมตร โดยฐานเสาธงที่ปรากฏในภาพ คาดว่าเป็นเสาธงของหน่วยทหารกัมพูชาในพื้นที่ และมีการตัดต่อภาพให้เป็นธงชาติไทย ทั้งนี้ ฝั่งกัมพูชาพื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์ทางทหาร “เดโช เบาะสะเบา ซำแต” กองทัพภาคที่ 2 สั่งการให้หน่วยในพื้นที่ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ปรากฏเหตุการณ์ตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงขอยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่เป็นความจริง (Fake News) ขณะที่กองทัพบกก็ยืนยันภาพรื้อถอนลวดหนามเป็นข่าวปลอมเช่นกัน โดยคาดฝ่ายกัมพูชาสร้างเพื่อเบี่ยงเบนกระแสภายในประเทศ เพราะจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ประจำปราสาทตาเมือนธม ยืนยันว่าไม่ปรากฏเหตุการณ์หรือปฏิบัติใด ๆ ของทหารกัมพูชาตามที่กล่าวอ้าง ทั้งนี้ หากมีการรื้อถอนลวดหนามในพื้นที่จริง จะต้องเข้าดำเนินการตอบโต้จากฝ่ายไทย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย ภายใต้มาตรการรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวด อีกทั้งจากการตรวจสอบยังพบว่า เสาธงที่ปรากฏในภาพไม่ได้มีอยู่จริงในพื้นที่ที่กล่าวอ้าง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ กองทัพบกประเมินว่า เป็นการจัดทำข่าวปลอมโดยฝ่ายกัมพูชาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและลดกระแสกดดันจากสังคมภายในประเทศ จากการที่ฝ่ายไทยสามารถยึดพื้นที่คืนจากทหารกัมพูชาได้จำนวน 11 พื้นที่ หลังการสู้รบที่ผ่านมา #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา #อนุสัญญาออตตาวา

Read More

กระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายพิเศษแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศกรอบอนุสัญญาออตตาวา จาก 41 ประเทศ รวม 67 คน เกี่ยวกับเหตุการณ์การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา โดยระบุว่า กัมพูชาจงใจละเมิดอธิปไตยของไทย ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและพันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ที่ว่าด้วยการห้ามมีและใช้กับระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง . ประเทศไทย ขอประณามการกระทำดังกล่าวและเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการทุกทางให้กัมพูชาหยุดการใช้กับระเบิดอย่างไร้มนุษยธรรม และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ซึ่งไทยได้แจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ UN เพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชาตามมาตรา 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาออตตาวา โดยในวันพรุ่งนี้ รัฐบาลจะนำคณะผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับผลกระทบจากกับระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา พร้อมเยี่ยมชมหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ก่อนเดินทางต่อไปยัง บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการโจมตีของกัมพูชาที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรม

Read More

พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีคลิปวิดีโอ และภาพที่เผยแพร่โดยทหารกัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรื้อถอนลวดหนามบริเวณชายแดน ว่า เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวเกิดขึ้นในเขตแดนของประเทศกัมพูชาทั้งหมด และเป็นการจัดฉากโดยทหารกัมพูชา เพื่อสร้างภาพให้ประชาชนในประเทศของตนเห็นว่าสามารถรื้อลวดหนามได้ พลตรีวินธัย ยืนยันว่า รั้วลวดหนามที่กองทัพบกไทยติดตั้งบริเวณชายแดน ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีการรื้อถอนหรือความเสียหายใดๆ พร้อมระบุว่า กองทัพบกไทยจะยังคงเฝ้าระวังและรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวดต่อไป เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบกเรียกร้องให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่อาจบิดเบือน และขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางที่เป็นทางการของกองทัพบกเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนและความเข้าใจผิดในสถานการณ์ดังกล่าว

Read More

เป็นภาพทหารกัมพูชา เข้ามากันให้ทหารไทยออกจากพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างที่นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนจาก 7 ประเทศ คือมาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, ลาว, เมียนมา, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ไปดูซากอนุสาวรีย์ตาอม โดยมีทหารพรานไทยเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด โดยอ้างว่ากับคณะผู้สังเกตการณ์ฯ ว่าตลาดชุมชนชาวเขมรกว่า 80 หลังคาเรือนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่บริเวณช่องอานม้า ถูกล้อมด้วยรั้วลวดหนามหีบเพลงโดยทหารไทย ซึ่งการกระทำของทหารไทยถือเป็นการรุกลํ้าดินแดนของกัมพูชา รวมถึงทิ้งระเบิดทำลายอนุสาวรีย์ตาอมในพื้นที่อานม้า ทั้งนี้ตลาดดังกล่าว เป็นชาวเขมรที่รุกลํ้าเข้ามายังดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย ตั้งรกรากและสร้างครอบครัว เปิดตลาดขายของมากกว่า 80 หลังคาเรือนมานานกว่า 10 ปี รวมถึงกรณีอนุสาวรีย์ตาอมก็ถูกทำลายโดยปืนใหญ่ของฝั่งกัมพูชาเอง ทั้งนี้ในภาพที่ทหารกัมพูชาเข้ามากั้นทหารไทยออกจากพื้นที่นั้น ทางทหารไทยไม่ยอมและได้ตักเตือนไป รวมถึงพบว่าทหารกัมพูชาพกพาอาวุธประจำกายขึ้นมา 4-5 นาย ขณะที่ฝ่ายไทยไม่ได้ติดอาวุธขึ้นมาในพื้นที่ด้วย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา #อนุสัญญาออตตาวา

Read More

เป็นภาพล่าสุดจากเพจ Army Military Force โพสต์ พร้อมข้อความระบุ “ด่วนที่สุด!!!! เขมรเหิมเกริมหนัก! เข้าปลดธงชาติไทยทิ้ง พบยังรื้อรั้วลวดหนามหีบเพลงออกเกลี้ยงที่บริเวณฐานปฏิบัติการช่องจุบตะโมก ใกล้ปราสาทตาเมือนธม ที่ทางทหารไทยติดตั้งเอาไว้” อย่างไรก็ตามต้องรอการตรวจสอบ และแถลงอย่างเป็นทางการจากกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบกอีกครั้ง #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet#WarCrimes#HumanRights#Scambodia#ฮุนเซนอาชญากรสงคราม#hunsenwarcriminal#กัมพูชายิงก่อน#CambodiaOpenedFire#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#TruthFromThailand#ทุ่นระเบิดผิดสนธิสัญญา#อนุสัญญาออตตาวา

Read More