- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเรื่องนี้โดยบอกว่า เบื้องต้นสามารถดำเนินการฟ้องได้ภายใต้กฎหมายไทย เพื่อเป็นชนักติดหลัง เป็นผู้ถูกกล่าวหามีความผิดทั้งอาญาและแพ่ง ส่วนความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูรายละเอียด ทั้งนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นประโยชน์ที่สุดต่อประเทศ และต้องทำให้กัมพูชามารับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำ นายภูมิธรรม บอกว่ารัฐบาลต้องการทำให้เห็นคือฝ่ายกัมพูชาได้ทำผิด กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทำให้เสียหายและมีคนเสียชีวิต ฟ้องตามกระบวนการของไทย เมื่อถามว่าจะไม่ใช้รูปแบบของศาลระหว่างประเทศใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมบอกประเทศไทยประกาศชัดว่าไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่สามารถใช้ องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ อินเตอร์โพลได้ และอีกหลายอย่าง อย่างไรก็ตามนายภูมิธรรมยังไม่ระบุรายชื่อผู้สั่งการที่จะฟ้องว่าเป็นใครบ้างในตอนนี้ #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #ภูมิธรรม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนตอบคำถามสื่อมวลชน หลังการประชุมวิสามัญของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มาเลเซีย โดยกล่าวว่าจีนยินดีที่ทั้งสองประเทศบรรลุความเข้าใจร่วมกันในประเด็นการจัดเตรียมแนวทางปฏิบัติ กลไกเฝ้าติดตาม และการติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิง โฆษกกล่าวว่าจากความเข้าใจที่ผู้นำกัมพูชาและไทยบรรลุร่วมกันในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ทั้งสองประเทศได้จัดการประชุมวิสามัญของการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว และบรรลุความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ กลไกเฝ้าติดตาม และการติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำหรับการหยุดยิงที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างสองฝ่าย ซึ่งจีนรู้สึกยินดีกับประเด็นนี้ โฆษกระบุว่าปัจจุบันสถานการณ์ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยคลี่คลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าการเจรจาหารือคือหนทางที่ถูกต้องในการแก้ไขข้อพิพาท จีนยึดมั่นจุดยืนที่เป็นธรรมและยุติธรรม สนับสนุนกัมพูชาและไทยในการเสริมสร้างการสื่อสารและแก้ไขความเห็นต่างอย่างเหมาะสม สนับสนุนการเดินหน้าแก้ไขปัญหาทางการเมืองผ่านวิถีอาเซียน (ASEAN Way) และพร้อมที่จะดำเนินบทบาทเชิงสร้างสรรค์ต่อไปเพื่อส่งเสริมการหาทางออกประเด็นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างสันติ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#จีน#StopHunManet#WarCrimes#HumanRights#Scambodia#ฮุนเซนอาชญากรสงคราม#hunsenwarcriminal#กัมพูชายิงก่อน#CambodiaOpenedFire#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#TruthFromThailand
เป็นแถลงการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ที่เผยแพร่โดยสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยเนื้อหาระบุ สหรัฐอเมริกายินดีต่อการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee) ในวันนี้ ( ส.ค.68) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ อันเป็นก้าวสำคัญไปสู่การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการจัดให้มีกลไกการสังเกตการณ์จากประเทศอาเซียน ประธานาธิบดีทรัมป์และผม (มาร์โค รูบิโอ) คาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำมั่นของตนอย่างเต็มที่ในการยุติความขัดแย้งนี้ เราขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สำหรับความเป็นผู้นำของท่าน และสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดกระบวนการหยุดยิง ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของความเต็มใจของท่านในการร่วมกับสหรัฐฯ จัดการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม เพื่อแก้ไขความขัดแย้งดังกล่าว เราตั้งตารอที่จะได้สนับสนุนมาเลเซีย สมาชิกอาเซียน และประเทศทั้งสองในขณะที่กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #สหรัฐฯ #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand
“เล่นปาหี่–หยุดยิงพลาด–ฮุน-ชินวัตรร่วมสันดาน” —นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ————— “ศาลไทยจะไปบังคับฮุน เซนได้อย่างไร?” คือคำถามตรงไปตรงมาจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี หลังรัฐบาลโดย “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี–รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศว่าจะฟ้อง “แพ่ง–อาญา” กัมพูชาในนามรัฐบาลไทย จากกรณีโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาลของไทย แต่กลับ ไม่ ดำเนินการต่อ “ศาลอาญาระหว่างประเทศ” หรือ ICC “นี่คือการเล่นปาหี่หรือไม่? จะใช้ศาลในประเทศแล้วจะไปมีอำนาจบังคับฮุน เซนได้อย่างไร” หมอวรงค์ชี้ว่า หลักฐานที่ฝ่ายไทยมีอยู่เพียงพอจะยื่นต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แม้ไทยจะไม่ใช่ภาคี ICC แต่ก็สามารถใช้กลไกระหว่างประเทศผลักดันได้ หากมีเจตจำนงทางการเมือง “ฮุน เซนกลัวถูกฟ้องเป็นอาชญากรสงคราม เพราะหลักฐานมันชัด แต่กลับไม่มีการผลักดัน แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้เอาจริง และผมไม่ไว้ใจคุณภูมิธรรมที่เป็นแค่หุ่นเชิด” ———- หยุดยิงผิดจังหวะ–ปล่อยให้เขมรฟื้นกำลังเตรียมการรบต่อ วรงค์ย้อนเหตุการณ์สำคัญที่ภูมิธรรมเจรจาหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขเมื่อ 28 ก.ค. ทั้งที่ขณะนั้นไทยได้เปรียบในสนามรบ และกำลังจะ “น็อค” แต่กลับ ยุติ การโจมตี ทำให้เขมรมีเวลาฟื้นกำลังและเดินเกมต่อในระดับการทูต ในการประชุม GBC ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร หมอวรงค์ระบุว่า “ไม่ว่าไทย–กัมพูชาจะตกลงอะไรกันในเวทีนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ กัมพูชาจะ ปฏิบัติตาม หรือไม่—เพราะแม้แต่ข้อตกลง RBC ที่เคยห้ามเคลื่อนย้ายกำลังพล ก็ยังถูกละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังยั่วยุไทยด้วยการตัดลวดหนามที่ช่องอานม้า” “เขมรล้มละลายด้านความน่าเชื่อถือไปแล้ว การที่ฮุน เซนได้รับพระบรมราชโองการคุมกองทัพคือสัญญาณพร้อมรบใหม่” เขาย้ำว่า ไทยต้องระมัดระวังตลอดเวลา เพราะ “เชื่อฮุน เซนไม่ได้” และที่สำคัญคือ “สองตระกูล ฮุน-ชินวัตร” มีลักษณะนิสัยที่เหมือนกัน — “พูดอย่าง ทำอีกอย่าง” —————— พ่อ–ลูกฮุน เซน ปิดไม่มิด ในมุมของหมอวรงค์ ความเคลื่อนไหวในกัมพูชาวันนี้คือการพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากความจริงที่ประชาชนรับรู้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และความสูญเสียในกองทัพ “ทหารเขมรที่ตุยไป ไม่ได้ตุยอย่างมีเกียรติ แต่ร่างถูกทิ้งเหมือนซากสัตว์ ไม่มีศักดิ์ศรี รัฐบาลของตัวเองไม่ใส่ใจ” เขายังเตือนถึงเกมสมดุลใหม่ที่ฮุน…
สภาองค์กรของผู้บริโภค แถลงการจัดทำรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันมีผลกระทบต่อสิทธิผู้บริโภคของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรื่องประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินจริง โดยได้ยื่นอุทธรณ์ และขอให้ กกพ. ชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวภายใน 60 วัน ขณะเดียวกันก็เตรียมส่งศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ นักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุ การดำเนินการของสภาองค์กรของผู้บริโภคครั้งนี้ เป็นการผลักดันให้ทบทวนนโยบายการจัดซื้อไฟฟ้า และให้ความสำคัญกับการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ทำไมไทยต้อง 2.17 บาท/หน่วย ทั้งนี้ในรายงานระบุว่าการที่ กกพ.ไม่เปิดให้แข่งขันราคา เร่งรัดรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มทุนเอกชนเดิม และกำหนดเกณฑ์รับซื้อไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 2.17 บาท/หน่วย ทำให้อัตราค่าไฟสูงเกินจริง ซึ่งพบว่าในเวลา 25 ปีประชาชนแบกรับภาระค่าไฟฟ้าสูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่หลายประเทศใช้วิธีประมูล ซึ่งถูกกว่าประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญคือไม่ถึง 2 บาท/หน่วย และราคาลดลงตามลำดับ เทียบเจ็บ “กัมพูชา” แค่ 0.90 บาท/หน่วย ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ เปรียบเทียบราคาประมูลรับซื้อไฟฟ้าพบว่า บราซิล: ได้ที่ราคา 1.31 บาท/หน่วย ปากีสถานและอินเดีย: รับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในราคาที่ต่ำลงเรื่อย ๆ ส่วนเวียดนาม: อยู่ที่ 1.70 บาท/หน่วย ที่สำคัญคือกัมพูชาที่เริ่มโครงการในราคา 1.32 บาท/หน่วย และปีล่าสุดเหลือ 0.90 บาท/หน่วย แต่ประเทศไทยอยู่ที่ 2.17 บาท “ประเทศไทยอัตรารับซื้อไฟจากพลังงานโซลาร์ควรอยู่ที่ไม่เกิน 1.20 บาท/หน่วย ไม่ใช่ 2.17 บาท/หน่วย ซ้ำกีดกันประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าได้จากหลังคาบ้าน ไม่ให้ฝากไฟในสายส่งเพื่อนำกลับมาใช้อีกด้วย” พลังงาน + การเมือง = ผลประโยชน์ทับซ้อน? ขณะที่นางสาวรสนา โตสิตระกูล ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่แพงกว่าทั่วโลก รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน และผลักภาระไปอยู่บนบ่าของประชาชนนั้น เป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับทุนพลังงานที่สนับสนุนพรรคการเมืองใช่หรือไม่ พร้อมกับเรียกร้องให้ สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านเคลื่อนไหวร่วมกันหยุดยั้งเรื่องนี้ โซลาร์บนหลังคา :ความหวังลดค่าไฟ นางสาวรสนา ยังขอให้นายภูมิธรรม เวชยชัย…
จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ โดยฝ่ายกัมพูชามี พล.อ.เตีย เซ ฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ โดยมีผู้แทนประเทศสังเกตการณ์ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน เข้าร่วม การประชุมใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ทั้ง 2 ฝ่าย มีความเห็นตรงกันถึงแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา โดยหวังให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลาย นำมาซึ่งสันติภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งไทยสนับสนุนการใช้กลไกทวิภาคี ระหว่างกันในการพูดคุยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาระสำคัญ แบ่งออกเป็นข้อตกลง 13 ข้อ ดังนี้ 1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี 2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย 3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา 4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน 5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี 6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ 7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์ 8. เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้ 8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ 8.2…
เป็นการพบกันระหว่างที่พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมคารวะท่าน ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน และเจ้าภาพของสถานที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ ในการเข้าเยี่ยมคารวะนายกอันวาร์ มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสแรกในวันนี้ ที่สองฝ่ายไทย-กัมพูชาได้พบกันในระดับรัฐมนตรี ก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม GBC ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ในช่วงบายของวันนี้ด้วย#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#GBC#ณัฐพลนาคพาณิชย์#เจรจาไทยกัมพูชา#รุกล้ำอธิปไตย#ฮุนเซน#ฮุนเซนอาชญากรสงคราม#กัมพูชายิงก่อน#CambodiaOpenedFire#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#TruthFromThailand
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร Subang ประเทศมาเลเซีย เมื่อเวลา 8 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น โดยในช่วงเช้า พลเอกณัฐพล จะเข้าเยี่ยมคารวะนาย อันวา อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียนในขณะนี้ ที่สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะเจ้าภาพของสถานที่การประชุม ก่อนที่จะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ ในช่วงบ่ายของวันนี้ สำหรับการประชุมในครั้งนี้ หัวใจสำคัญของการเจรจา มุ่งเน้นความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนของทั้งสองประเทศเป็นหลัก โดยการเจรจานี้จะต้องเป็นไปตามกฎหมายของประเทศไทย กฎหมายระหว่างประเทศและยึดผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศชาติเป็นสำคัญ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#GBC#ณัฐพลนาคพาณิชย์#เจรจาไทยกัมพูชา#รุกล้ำอธิปไตย#ฮุนเซน#ฮุนเซนอาชญากรสงคราม#กัมพูชายิงก่อน#CambodiaOpenedFire#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#TruthFromThailand
“เราต้องเป็นสุภาพบุรุษที่หมัดหนัก รุกล้ำมายิงทันที เลิกเป็นม้าอารีได้แล้ว” — พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ⸻ ฮุน เซนไม่ใช่นักเจรจา แต่คือ “นักรบ” หลังพระมหากษัตริย์กัมพูชามอบอำนาจให้ ฮุน เซน รับผิดชอบกิจการกองทัพและอธิปไตยของกัมพูชาโดยตรง พล.ท. พงศกร รอดชมภู เตือนว่า อย่าคิดว่าความเงียบคือความสงบ เพราะฮุน เซนไม่ใช่นักการทูต แต่เป็นทหารที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน “ฮุน เซนรู้จักการรบมากกว่าการเจรจา เขายังไม่บรรลุเป้าหมาย หยุดชั่วคราวเพราะต้องเป็นเด็กดีของสหรัฐฯ เรื่องภาษี แต่เขาแค่รอจังหวะ สร้างเรื่องรบใหม่” การส่งโดรนสอดแนม การเสริมกำลังที่แนวชายแดน และสร้างสตอรีต่อเนื่อง คือสัญญาณว่า การปะทะระลอกใหม่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยพื้นที่ที่ต้องระวังคือ ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบกที่เขาไปยื่นศาลโลกไว้ อาจมีการสร้างเรื่องใหม่เพื่อดึงไทยไปศาลโลก ⸻GBC อย่ายอมถอนทหาร! พล.ท. พงศกรแนะว่าการประชุม GBC (General Border Committee) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม โดยมี จีน–มาเลเซีย–สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ ไทยไม่ควรยอมถอยในพื้นที่ที่เราตรึงกำลังอยู่ “อย่าถอนทหาร อย่ายอมลดระดับ ไทยต้องตรึงพื้นที่ที่เรายึดไว้ แล้วพิสูจน์โดยใช้สันปันน้ำ ดาวเทียม โดรน เลเซอร์ แล้วขีดเส้นใหม่ ซึ่งหากดำเนินการตามนี้สามารถจบได้ภายใน 1 เดือน แม้กัมพูชาจะไม่ยอมเราก็ทำเองฝ่ายเดียวเหมือนที่ขีดเส้นยึดหลัก Unclos หรืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.” 1982 ในเอ็มโอยู 44“ เขาย้ำว่า แม้บางพื้นที่กัมพูชาจะยื่นฟ้องศาลโลกแล้ว เช่น ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย ช่องบก แต่พื้นที่อื่น ๆ ไทยต้องเดินหน้า “จัดระเบียบชายแดน” โดยไม่ต้องรอการยินยอมจากอีกฝ่าย ⸻ ภูมิธรรมไว้ไมตรี ไม่พูดตัวเลขความสูญเสียของทหารกัมพูชา เมื่อถูกถามถึงกรณี ภูมิธรรม เวชยชัย งดพูดถึงจำนวนทหารกัมพูชาที่เสียชีวิต…
“ปลดล็อกโป๊กเกอร์ท่ามกลางวิกฤตชายแดน ไม่โปร่งใส ขาดธรรมาภิบาล”— รศ.ดร. ชิดตะวัน ชนะกุล คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ⸻ลงนามปลดล็อก…ในวันที่ไทยเผชิญวิกฤต คำสั่งปลดล็อก “โป๊กเกอร์” ให้เป็นกีฬาที่จัดแข่งขันได้ในไทย โดยลงนามเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 จากฝีมือของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กลายเป็นประเด็นร้อนทางสังคมทันที แม้เจ้าตัวจะชี้แจงภายหลังว่าเป็นเพียงการรองรับการแข่งขันกีฬาโป๊กเกอร์ระดับสากล ไม่ใช่การอนุญาตให้เล่นพนัน แต่ในสายตาของ รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลับมองว่า การลงนามในวันดังกล่าวไม่เพียงขาดความโปร่งใส แต่ยังเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญ วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งประชาชนจำนวนมากต้องอพยพหนีภัยสงคราม “คุณภูมิธรรมลงนามวันที่ 30 ก.ค. วันเดียวกับที่การแข่งขัน Texas Hold’em เริ่มขึ้น ทั้งที่เตรียมงานล่วงหน้าแล้ว แสดงว่าทุกอย่างถูกวางแผนมาแต่ต้น แล้วค่อยมาทำเอกสารย้อนหลังให้ชอบด้วยกฎหมายใช่หรือไม่?” ⸻ โป๊กเกอร์คือการพนัน ไม่ใช่กีฬา รศ.ดร.ชิดตะวัน ระบุชัดว่า โป๊กเกอร์ไม่ควรถูกยกระดับเป็นกีฬาในทางนโยบาย เพราะในหลายประเทศ เช่น บางมลรัฐในสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ ก็ยังจำกัดอย่างเข้มงวด เนื่องจากถือเป็นการพนัน “มันคือการพนันที่ก่อผลเสียต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก การที่รัฐบาลไทยอ้างว่าเป็นกีฬาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นแค่การใช้กีฬาและท่องเที่ยวบังหน้าเพื่อแฝงการเปิดบ่อนหรือไม่” ⸻แอบทำ–แอบปลดล็อก ขัดจริยธรรม สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ร้ายแรงยิ่งกว่า คือ ขาดการมีส่วนร่วมของสาธารณะ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลล่วงหน้า ไม่รับฟังความเห็นประชาชน ทั้งที่เป็นประเด็นอ่อนไหว “นี่ขัดกับประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ.2564 ข้อ 6(5) อย่างชัดเจน และอาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง ทำให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีได้” อาจารย์ชิดตะวันย้ำว่า การลงนามในช่วงที่ประเทศกำลังมีปัญหาความมั่นคง ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมและเป็นการบริหารแบบ “มุบมิบ” ซึ่งขัดกับหลักธรรมาภิบาล และควรได้รับการตรวจสอบโดยรัฐสภา ⸻ท่องเที่ยวพัง–ไม่ปังอย่างที่รัฐบาลอ้าง แม้รัฐบาลจะอ้างว่าโป๊กเกอร์ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์กลับตรงกันข้าม ทุกนโยบายที่รัฐบาลเพื่อไทยอ้างกระตุ้นท่องเที่ยวไม่ได้ผล เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะ ชาวจีน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ “ทั้งการขยายฟรีวีซ่า 93 ประเทศ หรือการยกเลิกภาษีนำเข้าไวน์ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร กลับทำให้เสียหายมากขึ้น การแข่งโป๊กเกอร์ก็เช่นกัน มันไม่ได้ทำให้คนมาเที่ยวไทยเพิ่ม…
