- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ดำเนินคดีอาญาอาชญากรสงครามกับผู้นำกัมพูชา โดยระบุจากเหตุปะทะตามแนวชายแดน และกองกำลังกัมพูชาโจมตีเป้าหมายพลเรือน และโรงพยาบาล ทำให้พลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขัดกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวา ถือเป็นการกระทำผิดฐานอาชญากรสงคราม เข้าข่ายกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จึงขอให้ดำเนินคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในช่องทางต่างๆ ในเวลาอันรวดเร็ว นายนิพิฏฐ์ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การสู้รบที่โจมตีพลเรือน เป็นเรื่องใหญ่มาก สังคมโลกไม่ว่าชนชาติไหน ไม่ควรมีผู้นำที่สังหารพลเรือน แม้การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลก็ทำไม่ได้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่สังคมโลกจะปกป้องผู้นำทหารแบบนี้ การนำผู้นำแบบนี้ขึ้นศาลศาลอาญาระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่“ต้องทำ” พร้อมระบุในอดีตผู้นำกัมพูชาก็สังหารพลเมืองของตัวเอง ครั้งนี้สังหารพลเรือนไทย เด็กของเราไม่ควรตายในอ้อมกอดแม่ในร้านสะดวกซื้อ เขาควรมีชีวิตที่เติบโต และ มีความสุขบนแผ่นดินของเขา จึงได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ใช้ภาวะความเป็นผู้นำปกป้องพลเรือน ด้วยการนำผู้นำกัมพูชาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ “เสียดายนักการเมืองของเรา ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ทำสงครามข่าวสารในเชิงรุกบ้างเถอะครับ จากนี้ ขอให้คนไทยช่วยกันติดตามว่ารัฐบาลจะทำหรือไม่” นายนิพิฏฐ์ระบุในตอนท้าย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #StopHunManet #WarCrimes #HumanRights #Scambodia #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #hunsenwarcriminal #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand
ปิดประตู นายกฯคนนอก”เทพไท” ชี้แคนดิเดตนายกฯ เพียบชื่อ “พลเอกประยุทธ์” ยังอยู่ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ผันตัวเป็นนักสังเกตการณ์การเมือง โพสต์ถึงเรื่องนี้จากมุมวิเคราะห์ว่าหากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะลาออก หรือถูกศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัย อาจมีการเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาจากมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเรื่องนี้นายเทพไทเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น โดยเขาเห็นว่า แม้นางสาวแพทองธารยืนยันไม่ลาออกก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย แต่เมื่อถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เชื่อว่าถึงนาทีสุดท้ายนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ คงไม่ยอมให้ลูกสาวตายคาศาลรัฐธรรมนูญ ต้องสะกิดส่งสัญญาณให้นางสาวแพทองธาร ลาออกจากนายกรัฐมนตรีก่อน ส่วนเรื่องนายกฯ คนใหม่ยังมีแคนดิเดตจากพรรคการเมืองต่างๆ อีกหลายคน ที่สภาผู้แทนราษฎรสามารถเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ยังมีนายชัยเกษม นิติสิริ พรรครวมไทยสร้างชาติ มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค พรรคภูมิใจไทย มีนายอนุทิน ชาญวีรกุล พรรคประชาธิปัตย์ มีนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ นายเทพไทเชื่อว่าอันดับแรก นายทักษิณคงผลักดันนายชัยเกษม นิติสิริ แต่อาจจะไม่ผ่านด่านของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพราะมีปัญหาเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับ มาตรา 112 ส่วนนายอนุทิน เชื่อว่านายทักษิณ คงไม่สนับสนุน เพราะยังมีปัญหาทางการเมืองกันอยู่ “ถ้าต้องเลือกระหว่างนายอนุทินกับพลเอกประยุทธ์ ผมเชื่อว่านายทักษิณจะเลือกพลเอกประยุทธ์มากกว่า เพราะอย่างน้อย ก็เป็นการตอบแทนบุญคุณในวันที่นายทักษิณกลับเข้ามาประเทศ ในสมัยที่พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ไปต่อทางการเมืองอีกแล้ว ไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง” นายเทพไทปิดท้ายว่านายกรัฐมนตรีคนนอก มาตรา 5 การเมืองไทยคงยังก้าวไปไม่ถึงจุดนั้น และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยังอยู่ในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ เช่นเดิม#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#รัฐบาลแพทองธาร#ศาลรัฐธรรมนูญ#แพทองธารชินวัตร#แคนดิเดตนายกฯ#ทักษิณชินวัตร#นายกฯคนนอก#พลเอกประยุทธ์#กระดานการเมือง
ศึกครั้งนี้กัมพูชาสูญเสียหลายพันคน ปกปิดข้อมูลยาก กระแสความไม่พอใจจะก่อตัว แม้ยังโค่นล้มไม่ได้ แต่ระบอบฮุน เซน ปริร้าวแล้ว” — รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ประจำ ม.ธรรมศาสตร์ เตือน ไทยต้องไม่ประมาทศึกชายแดนรอบใหม่ เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” — หยุดยิงคือช่วงฟื้นกำลัง ไม่ใช่จุดจบของสงคราม “สถานการณ์ขณะนี้พร้อมที่จะกลับมาปะทุอีก ประมาทไม่ได้เลย หยุดยิงข้อดีคือบันไดไปสู่สันติภาพ แต่การหยุดยิงก็ทำให้บางฝ่ายถือโอกาสผลัดเปลี่ยนกำลังพล เอาทหารกลุ่มใหม่เข้ามา เพิ่มอาวุธ ขยายเสบียงเลี้ยงเหล่าทัพให้บริบูรณ์ แล้วรอเปิดศึกใหม่… เป็นอย่างนี้รอบโลก” อาจารย์ดุลยภาคเตือนว่าไทยไม่ควรหลงกับคำว่า “หยุดยิง” เพราะสิ่งที่กัมพูชากำลังทำคือการเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีระลอกใหม่ โดยเฉพาะในจุดยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตนเสียเปรียบ เช่น ภูมะเขือ ซึ่งเขาระบุว่า “ฝ่ายกัมพูชาเสียหายหนัก และเป็นจุดสูงข่มที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ที่กัมพุชาจะพยายามเข้าตีเพื่อยึดครองพื้นที่” — เวที GBC ไม่ได้เป็นทวิภาคีบริสุทธิ์ — ต้องระวังเกมพหุภาคี “การประชุมจีบีซีเป็นทวิภาคีเฉพาะระดับเจ้าหน้าที่ แต่ในระดับรมว.กลาโหมสองประเทศ มีทั้งมาเลเซีย จีน และสหรัฐฯ สังเกตการณ์ เป็นลักษณะพหุภาคีเข้ามาประกบ และจัดที่มาเลเซีย ไม่ใช่ทวิภาคีเข้มข้นที่ต้องจัดในสองประเทศคู่พิพาทเท่านั้น” แม้จะมีข้อดีในแง่ที่มี “ประเทศที่สามเป็นพยาน” หากเกิดการตุกติก แต่อาจารย์ดุลยภาคเตือนว่าไทยต้องระวังการเปิดประเด็นในบางวง เพราะ “สิ่งที่เคยคุยสองฝ่าย ก็จะต้องระมัดระวังในบางประเด็นเป็นพิเศษ” — ไทยมีสิทธิเลื่อนเจรจา — อย่าเดินตามเกมเขาทุกครั้ง “ไทยต้องพิจารณาเพิ่มเติม ไม่จำเป็นต้องไปทุกวงเจรจาที่เขากำหนดหรือเดินตามเกมเขา โดยเราอาจใช้เหตุผลเรื่องที่ยังไม่มีทั้งรมว.กลาโหมและนายกฯ ตัวจริงปฏิบัติหน้าที่… ชะลอการเจรจาออกไปก่อนได้ จนกว่าจะมีนายกฯ ตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นคุณแพทองธารพ้นผิด หรือการเลือกนายกฯ ใหม่แทนคุณแพทองธาร กรณีศาลรธน. ชี้ว่ามีความผิด” อาจารย์ดุลยภาคเสนอว่า ไทยอาจใช้กลไกอื่นเพิ่มเติม เช่น การเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันประณามกัมพูชาก่อน หรือรอให้โครงสร้างการเมืองภายในประเทศมั่นคงกว่านี้ ก่อนเข้าร่วมเจรจาระดับสูงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความพลาดพลั้ง — ปราสาทตาควายยังอยู่ในมือเขมร — เพราะคำสั่งหยุดยิงมาเร็วเกินไป “ต้องถอดบทเรียนการเจรจาหยุดยิงวันที่ 28 ก.ค. ที่ฝ่ายการเมืองไม่ได้ประสานกับทหารอย่างใกล้ชิดเพียงพอ… โดยเฉพาะที่ปราสาทตาควาย คนไทยจะสบายใจสักกี่คนเมื่อเห็นภาพตัวปราสาทอยู่ภายใต้ครอบครองของกัมพูชาและมีกับระเบิดอยู่โดยรอบ” เขาย้ำว่า ฝ่ายการเมืองแม้จะหวังดีอยากให้เกิดสันติภาพ แต่หากจะให้ประชาชนสบายใจในเรื่องอธิปไตยจริง ๆ…
“ต้องเร่งส่งศาล รัฐบาลนี้ตัดงบผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 —ถึงเวลาลงโทษ-ชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน”— สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” เดือนสิงหาคม–กันยายนนี้ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอำนาจทางการเมืองไทย จากการไล่เรียงของ 3 ปมร้อนที่มาบรรจบพร้อมกัน: คดีคลิปสนทนา “อังเคิล–หลานอิ๊งค์” ที่ศาลรัฐธรรมนูญให้แพทองธารส่งคำชี้แจงครบเส้นตาย 4 ส.ค. อาจมีคำชี้ขาดปลายสิงหาคมหรือต้นกันยายน คดีทักษิณ “ชั้น 14” ซึ่งศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย. และอีกคดีสำคัญที่ถูกมองข้ามในสื่อกระแสหลัก คือความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งกล่าวหาว่ามีการ “ตัดงบชำระหนี้” ธนาคารรัฐห้าแห่ง วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท และยังมีการจัดสรรงบเข้ากองทุนสส. และสว. ในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้ ส.ส.–ส.ว. โดยตรง สมชาย แสวงการ อดีต ส.ว. และหนึ่งในผู้ยื่นคำร้องในคดีมาตรา 144 ให้ข้อมูลในรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ว่า คดีนี้มีหลักฐานชัดเจนและสมบูรณ์ ป.ป.ช. จึงไม่ควรยืดเยื้อ “แม้ป.ป.ช.จะมีอำนาจขยายเวลาที่จะครบกำหนดหกสิบวันในวันที่ 10 สิงหาคมออกไปได้ แต่ผมวิงวอนให้เร่งสรุปส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว เพราะเมื่อถึงมือศาลฯ จะพิจารณาเร็วเหมือนคดีพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ศาลฯ จะพิจารณาภายใน15 วันตามที่กฎหมายกำหนด จนพิเชษฐ์ พ้นตำแหน่งและถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปี คดีนี้พยานหลักฐานแน่นไม่ต่างกันเลย” ———— คดี 144: ตัดหนี้ให้แบงก์รัฐ เอาไปโปะกองทุน ส.ส.–ส.ว. สมชายเปิดเผยว่า คำร้องครั้งนี้ครอบคลุมถึงผู้มีตำแหน่งระดับสูงหลายฝ่าย ทั้ง ส.ส. ส.ว. ครม.ชุดเศรษฐา–แพทองธาร และคณะกรรมาธิการงบประมาณ โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ด้วยการตัดงบชำระหนี้เงินต้น–ดอกเบี้ยของธนาคารรัฐ 5 แห่ง และนำงบไปจัดสรรเพิ่มให้กองทุนของ ส.ส.–ส.ว. ทำให้ทั้งสส.และ สว.เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง “หลักฐานมีครบทั้งชวเลขประชุม กมธ., มติครม., เอกสารการโยกงบ และรายละเอียดคำพูดในที่ประชุมว่าใครเสนออะไร…
“ระวังศึกใหม่กัมพูชา – อย่าปล่อยให้การเมืองอ่อนแอซ้ำเติมสนามรบ” เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ———— “เรากำลังเผชิญศึกซ้อนศึก — ศึกนอกคือกัมพูชา ศึกในคือไส้ศึก และที่น่ากลัวที่สุดคือรัฐบาลที่ไร้วุฒิภาวะ” — สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา สมชาย แสวงการ อดีต ส.ว. และอดีตนักข่าวสงคราม กล่าวในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา และการประชุม GBC ระหว่างวันที่ 4–7 ส.ค.นี้ว่า ขณะนี้ไทยยังไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตัวจริง โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ต้องรักษาการแทน ท่ามกลางข่าวว่าอาจมีบางฝ่ายจงใจให้ไทยอ่อนแอ ขณะที่ฝั่งกัมพูชา รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ “เตีย เซรยฮา” ลูกชายของเตีย บัญ ก็มีท่าทีแข่งอำนาจกับฮุน มาเนต ผู้นำคนปัจจุบัน “จีบีซีครั้งนี้อาจถูกแทรกแซงจากต่างชาติ ทั้งมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน — อย่าให้การเจรจาทวิภาคีกลายเป็นเวทีพหุภาคีตามที่กัมพูชาต้องการ เพราะเบื้องหลังคือผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยนับสิบล้านล้านบาท ที่มีความพยายามยกแปลงสัมปทานให้ต่างชาติ มีข่าวว่ากลุ่มฮุน เซน มีการรับค่านายหน้าไปแล้ว 5 พันล้านยูเอส” ———— “หยุดยิงเที่ยงคืน 28 ก.ค. — ทำให้เราเสียพื้นที่ยุทธศาสตร์” สมชายระบุว่า การหยุดยิงที่เกิดขึ้นกลางดึก 28 ก.ค. เป็นคำสั่งการเมืองที่ทำให้กองทัพไทยไม่สามารถครอบครองพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ได้ทันเวลา โดยเฉพาะปราสาทตาควายที่กลายเป็น “จุดบอด” แม้จะยึดภูมะเขือ ช่องจอม ช่องอานม้าคืนมาได้ “การรบในปี 2554 หยุดไป 14 ปี กัมพูชาถึงกล้ารบใหม่ในปีนี้ แต่ครั้งนี้เขาเตรียมการเร็วกว่าเดิม — ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ รอบใหม่อาจเกิดในสามหรือสี่สัปดาห์หลังจากนี้ ด้วยกำลังที่ฟื้นและอาวุธพร้อมกับพิกัดที่เขารู้แล้ว เราจะเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม” ———— “ตีงูต้องตีให้ตาย — ไม่เช่นนั้นงูจะย้อนแว้งกัด” สมชายเปรียบสถานการณ์ว่า “ตอนนี้เราเหมือนตีงูได้แค่หาง งูยังไม่ตาย” พร้อมเปิดเผยข้อมูลข่าวกรองว่า กัมพูชายังมีกำลังรบครบมือ ทั้งจรวดพิสัย 130…
พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า “ได้มีการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไตรภาคี ประกอบด้วยไทย, กัมพูชา และมาเลเซีย ได้ชี้แจงกัมพูชาเรื่องเชลยศึก 18 คน ไทยดูแลอย่างดี ต่างชาติเข้าสังเกตการณ์แล้ว พอใจไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาเรียบร้อย พร้อมย้ำว่า ยังไม่ส่งตัวกลับกัมพูชา เพราะต้องสอบสวนเพิ่มเติม ป้องกันการนำไปบิดเบือน ทั้งนี้ หากมีความไว้ใจกัน 100% ไทยก็อาจจะส่งกลับได้เร็วกว่านี้” พลเอก ณัฐพล กล่าวอีกว่า “กรณีทหารกัมพูชาเสียชีวิตฝั่งไทย ก็ส่งคืนอย่างสมเกียรติตามอนุสัญญาเจนีวา แต่ที่ห่วงใย และได้พูดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา คือ ทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตหน้าแนวจำนวนมากยังไม่ได้ถูกเก็บศพกลับไป จึงอยากให้รีบดำเนินการ เพื่อถูกต้องตามสุขลักษณะ เพราะหากปล่อยไว้นาน ก็อาจจะเกิดโรคระบาดได้ ประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบ” “ส่วนศพทหารกัมพูชาที่ไทยได้ส่งกลับไป แม้กัมพูชาจะปฏิเสธ แต่ล่าสุดก็ได้รับศพกลับไป ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจ กับกำลังพลและทหารที่เสียชีวิต ถ้าวิญญาณได้รับรู้คงเสียใจ” พลเอก ณัฐพล กล่าว #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#StopHunManet#WarCrimes#HumanRights#Scambodia#ฮุนเซนอาชญากรสงคราม#hunsenwarcriminal#กัมพูชายิงก่อน#CambodiaOpenedFire#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#TruthFromThailand
4 สิงหาคม 2568 – นางกมลรัตน์ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในพื้นที่ตำบลบ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีด้วยอาวุธสงคราม เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เดินทางพร้อมกับลูกสาวและผู้เสียหายรายอื่น ๆ เพื่อยื่นหนังสือต่อ พันเอกเฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมี นายชณทัต ปัทะมะภูวดล ผู้ก่อตั้งเพจ “ชณทัตลุยครับ” เป็นผู้นำคณะ เพื่อขอความช่วยเหลือด้านการประกันและการเยียวยาจากรัฐบาลและบริษัท ปตท. นางกมลรัตน์เปิดเผยด้วยความเศร้าว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้มีการอพยพครอบครัวไปพักในอำเภอใกล้เคียง และยังคงได้ยินเสียงระเบิดเป็นระยะ ๆ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก เธอเล่าว่าปั๊มน้ำมันแห่งนี้เป็นกิจการที่ครอบครัวกู้เงินธนาคารมาสร้าง โดยนำที่ดินของครอบครัวไปค้ำประกัน ทำให้แม้ปั๊มจะได้รับความเสียหายจนต้องหยุดให้บริการมานานกว่า 3 เดือน แต่ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ผู้เสียหายระบุว่า ค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่าสูงถึงกว่า 20 ล้านบาท หากต้องปิดกิจการโดยสมบูรณ์ และแม้จะมีประกัน แต่ก็ไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือเพื่อขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากการพูดคุยกับสื่อมวลชน ตัวแทนผู้เสียหายที่ร่วมในเหตุการณ์ได้ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษยืนยันถึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น และเชื่อมั่นว่าการโจมตีมาจากฝั่งกัมพูชาอย่างชัดเจน เจ้าของปั๊มต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการเข้าช่วยเหลือและเยียวยา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นตัวกลางในการประสานงานกับบริษัท ปตท. ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นธรรมและทันท่วงที ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความสูญเสีย #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม
เป็นโปสเตอร์ที่ออกโดยตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และมี สภ.อำเภอต่างๆ ในจังหวัดนำไปเผยแพร่ต่อ เป็นการรณรงค์ต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนร่วมสอดส่อง เป็นหูเป็นตาโดรนต้องสงสัยสอดแนมบริเวณตามแนวชายแดน โดยแนะนำให้สังเกตลักษณะของโดรนเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ ที่น่าสนใจคือ สภ.จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่เพียงอธิบายลักษณะการสังเกตุความแตกต่างระหว่างโดรน กับเครื่องบินแล้ว ในภาพยังนำผีโพงมาเป็นตัวเปรียบเทียบอีกด้วย โดยระบุ “ผีโพงจะคล้ายผีเป้าหรือผีกระสือ ในเวลากลางวัน จะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่กลางคืนจะกลายร่างเป็นผีโพง ลักษณะเด่นคือมีแสงสว่างหรือดวงไฟที่รูจมูก จะกินของสดและคาว เช่น กบ เขียด ศพ หรือรกเด็กเกิดใหม่ พร้อมระบุช่วงท้ายว่า “ชัวร์ก่อนโทร” เพื่อให้ประชาชนสังเกตให้ชัดเจนก่อนว่า ที่เห็นนั้นเป็น ผีโพง โดรน หรือเครื่องบิน อีกโพสต์เป็นการขอความร่วมมือ_งดการปล่อยโคมลอย_โคมควันและวัตถุทุกประเภทลอยไปบนอากาศ เพราะจะเกิดการสับสนและสร้างความตื่นตระหนกกับประชาชน พร้อมกับโพสต์ภาพโคมลอยกับรูปผีกระสือ และระบุด้วยว่า “ไหนๆ ก็มาทางไสยศาสตร์แล้ว ขออีกสักโพสต์แล้วกัน” พร้อมระบุ ตรวจสอบให้แน่ ! #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#ประชุมGBC#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#โดรนสอดแนม#ผีโพง#ผีกระสือ
เป็นการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ที่กรุงกัลลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่เริ่มวันนี้ถึง 6 สิงหาคม ซึ่งเวทีนี้จะไม่มีผู้สังเกตการณ์ จากนั้นในวันที่ 7 สิงหาคม จะเป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) อย่างเป็นทางการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยและกัมพูชาเป็นประธานร่วม โดยฝ่ายไทยคือพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมกับประเทศผู้สังเกตการณ์คือผู้แทนจากมาเลเซีย จีนและสหรัฐฯ จะเข้าร่วมเฉพาะในวันประชุมหลัก เวที GBC ครั้งนี้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาหลังเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เสมือนการเปลี่ยนเป็นสมรภูมิทางการทูต ที่จะกำหนดแนวทางความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ทั้งมาตรการหยุดยิง, การเสริมหรือเคลื่อนย้ายกำลังทางทหาร เพื่อความสงบและสันติสุขตามแนวชายแดน และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากการใช้อาวุธเป็นสมรภูมิทางการทูต ลดความสูญเสีย โดยมีเดิมพันเป็นความมั่นคง สันติภาพ และอธิปไตยเหนือดินแดน ดังนั้นจึงมีทั้งโอกาสและแรงกดดัน เป็นโอกาสในการแสดงจุดยืนด้านความมั่นคง และฟื้นฟูสันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันได้รักษาผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายกัมพูชาอาจเดินเกมไปไกลในเวทีนานาชาติแล้ว GBC ครั้งนี้อาจจะไม่ได้ข้อตกลงในทันที แต่หวังว่าจะเป็นจังหวะในการประคับประคองสมดุลแห่งอธิปไตยระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อไม่ให้เสียงแห่งสันติภาพถูกกลบด้วยเสียงปืน-ระเบิดอีกครั้ง #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#ประชุมGBC#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะ กมธ. งบประมาณปี 2569 ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) และ สส.ที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือ พ.ร.บ.งบประมาณปี พ.ศ. 2569 ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 หรือไม่ และ สส. 121 คน (ผู้ร้อง) หรือ สว.ที่ไม่เสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายเรืองไกรระบุการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ตามมติ ครม ซึ่งมีงบของสภาผู้แทนราษฎรที่มีปัญหารวมอยู่ด้วย และในการอภิปรายงบประมาณฯ วาระหนึ่ง สส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายเรื่องนี้ แต่ ครม.ไม่ได้ถอนร่างกลับไปแก้ไข และสภาฯลงมติเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง 322 เสียง จากนั้น สส. 121 คนเข้าชื่อร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า ผู้ถูกร้องคือนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน กระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ซึ่งคำวินิจฉัยรวมไปถึงขั้นตอนการจัดทำงบประมาณของ ครม.และการลงมติในวาระที่หนึ่งของสภาฯ ดังนั้นจึงไม่ควรร้องเฉพาะตัวนายพิเชษฐ์เพียงคนเดียว ผลคำวินิจฉัยประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ครม.ทั้งคณะมีส่วนในการจัดทำงบประมาณของนายพิเชษฐ์ ด้วยแล้ว และ สส.ได้ลงมติรับหลักการในวาระหนึ่ง ทั้งที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับความไม่ชอบของงบประมาณของสภาฯ ทั้ง 3 รายการ ครม.กลับไม่ถอนร่างกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ม.144 และ สส.ไม่ลงมติไม่รับหลักการเพื่อไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ม.144 ดังนั้น ครม.และ สส. ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับนายพิเชษฐ์ จึงมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสี่ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน#ศาลรัฐธรรมนูญ#พ้นสภาพสส#มาตรา144#โยกงบผิดรัฐธรรมนูญ ่ #งบประมาณ2568#รัฐบาลแพทองธาร#ตรวจสอบอำนาจ#ม144
