- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ชี้แจงกรณี พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ อ้างว่ามีตัวแทนรัฐบาลโทรศัพท์สั่งการไม่ให้เกิดการปะทะตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 รัฐบาลได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ในฐานะผู้อำนวยการ ศบ.ทก. ที่ตัดสินใจบริหารสถานการณ์พื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด ยืนยันว่าไม่มีการกระทำตามที่ได้กล่าวอ้าง ยืนยัน รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ทำงานเป็นทีมอย่างมีเอกภาพ ในการปฎิบัติภารกิจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติไทย โดยปัจจุบัน สถานการณ์ชายแดนอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพเป็นที่เรียบร้อย และอยู่ระหว่างการเยียวยา ฟื้นฟู และชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังนานาชาติ ขอประชาชนสามัคคีกัน อย่าเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่มีข้อเท็จจริง เพราะอาจจะสร้างความสับสนและความขัดแย้งในสังคม #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#เที่ยงเปรี้ยงปร้าง#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
เพจกองทัพอย่าง SMART Soldiers Strong ARMY ได้โพสต์ประเด็นนี้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในพื้นที่ “ช่องอานม้า” โดยระบุว่า ก่อนเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กำลังทหารของไทยไม่เคยสามารถเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังตรึงพื้นที่ไว้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ข้อสังเกต: เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้นำคณะทูตทหารจาก 13 ประเทศเข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ โดยพบว่า พื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมขณะนั้น มีกำลังทหารไทยควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว แนวปฏิบัติร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ “ช่องอานม้า” เพื่อป้องกันเหตุปะทะและรักษาเสถียรภาพในพื้นที่อ่อนไหว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันไว้ ดังนี้: 1. จัดกำลังฝ่ายละ 5 นาย – แต่ละฝ่ายส่งเจ้าหน้าที่ 5 นายเข้าไปในพื้นที่ร่วมตรวจสอบ เพื่อป้องกัน การเพิ่มเติมกำลัง 2. ไม่มีการพกพาอาวุธ – เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องงดเว้นการพกพาอาวุธในขณะปฏิบัติภารกิจ 3. ลาดตระเวนร่วมกัน – ทั้งสองฝ่ายร่วมเดินลาดตระเวนบริเวณรอบ “ตาอม” (ฝั่งกัมพูชา) และพื้นที่ใกล้เคียง 4. ไม่จำกัดช่วงเวลาในการเข้า-ออกพื้นที่ – สามารถเข้าปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนได้ ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ปัจจุบัน: กองทัพไทยควบคุมสถาปนาพื้นที่ได้อย่างมั่นคง จากสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุด กองทัพไทยได้ดำเนินการ ผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำอธิปไตยไทย ได้อย่างเด็ดขาดและสามารถ เข้ายึดพื้นที่ในแนวภูมิยุทธศาสตร์สำคัญได้สำเร็จ เมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ฝ่ายไทยได้จัดกำลังตรึงพื้นที่ ในเขตดินแดน อธิปไตยของไทย และสามารถครอบครองได้โดยชอบธรรม เพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ และป้องกันการกระทบกระทั่งที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก FB: SMART Soldiers Strong ARMY #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#เที่ยงเปรี้ยงปร้าง#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
“กัมพูชาอาจเสียทหารสูงสุด 3,000 นาย แต่รัฐปิดเงียบ เพราะผู้นำอยู่ได้ด้วยภาพวีรบุรุษ ไม่ใช่ความจริง” — พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” —————— สูญเสียจริง…แต่ปิดเงียบ “ถ้าคนกัมพูชารู้ว่าเขา รบแพ้ เสียทหารมาก ฮุน มาเนตจะอยู่ไม่ได้” พล.ท.พงศกร รอดชมภู สรุปภาพสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างไม่อ้อมค้อม พร้อมประเมินว่าในการสู้รบ 5 วันที่ผ่านมา “ทหารกัมพูชาเสียชีวิตต่ำสุดประมาณ 1,000 นาย สูงสุดอาจมากถึง 3,000 นาย” แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่มีวันยอมรับตัวเลขเหล่านี้ เพราะการสร้างเรื่องราวว่าฮุน มาเนต เป็นวีรบุรุษผู้กล้าเผชิญหน้าไทย คือสิ่งที่ใช้ “ต่ออายุสร้างความมั่นคงทางอำนาจ” ไม่ใช่แค่ชิงพื้นที่ แต่เพื่อปักหมุดผู้นำให้มั่นคงในประเทศที่ยังไม่เคยผ่านการเลือกตั้งแบบเสรีจริงจัง “ระบอบแบบนี้อยู่ได้ด้วยภาพบารมี ไม่ใช่ความจริง ถ้าภาพฮุน มาเนตรบแพ้ หมดบารมี การเมืองภายในจะปั่นป่วน” —————- ไทยได้เปรียบในสนามรบ แม้หยุดยิงแล้ว แต่ในสนามจริง พล.ท.พงศกรระบุว่า กองทัพไทย “ได้พื้นที่คืน” มากกว่าก่อนการสู้รบ “เราผลักดันทหารกัมพูชาที่ตรึงกำลังอยู่ออกไปได้เป็นส่วนใหญ่ ปราสาทตาควายไม่จำเป็นต้องยึด เพราะมันแค่สิ่งปลูกสร้าง สิ่งสำคัญคือการได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฝ่ายไทยได้เปรียบมากกว่า คือ “หลักฐาน” ว่ากัมพูชาใช้ ทุ่นระเบิดใหม่ วางรอบปราสาท ซึ่งละเมิด ข้อตกลงออตตาวา ที่ห้ามใช้กับระเบิดสังหารบุคคล และมีทหารไทยบาดเจ็บจริง พร้อมพยานหลักฐานครบ “ญี่ปุ่นที่เป็นประธานอนุสัญญาออตตาวาคงไม่พอใจแน่ และนี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ควรนำขึ้นเวทีโลก” —————— สมรภูมิข่าวสาร: ไทยแพ้ สนามรบเราชนะ แต่สมรภูมิข่าวสารกลับตรงข้าม — แพ้โดยสิ้นเชิง “เราตั้งรับตลอด ไม่เคยชิงพื้นที่ข่าว ไม่มีข้อมูลเชิงลึกให้ต่างชาติอ้างอิง กัมพูชาเขาเล่นข่าวทุกวัน แต่เรากลับกลัวที่จะใช้ความจริงเปิดเผยความรุนแรงที่เขาทำ เช่น ยิงพลเรือน ยิงโรงเรียน โจมตีวัด ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม” พงศกรเสนอว่าไทยควร เลิกตั้งรับ แล้วเปิดเกมรุกด้วยการส่งข้อมูลให้สื่อโลก ให้คนไทยได้แชร์สิ่งที่รัฐสื่อสารอย่างมีระบบ พร้อมนำทูตต่างชาติเยี่ยมพื้นที่จริง “ถ้าอยากให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการประชุม GBC 4 ส.ค.…
“ดีลภาษี 19% ยังไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย ภาษีอื่นยังรออยู่” — รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร —————— สำเร็จหรือล้มเหลว? ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากเชียร์หรืออยากรู้ความจริง “ภาษี 36% เหลือ 19% จะมองว่าสำเร็จก็ได้ เพราะดูเหมือนลดลงตั้งเยอะ แต่ถ้ามองลึก ๆ มันก็คือได้เท่ากับประเทศอื่น—อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และที่เจ็บที่สุดคือ ‘ได้เท่ากับกัมพูชา’ ซึ่งเขาลดจาก 49 เหลือ 19% ได้อย่างไร?” รศ.ดร.อัทธ์ ชี้ว่าไทยอาจลดภาษีได้จริง แต่กัมพูชาลดได้มากกว่าในเชิงสัดส่วน สะท้อนว่าเราอาจไม่ได้ต่อรองได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างที่หลายฝ่ายพยายามโหมเชียร์ ⸻ ระวัง! 19% อาจไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นแค่จุดเริ่มของภาษีลูกใหม่ แม้ดีลภาษี 19% จะดูเป็นข่าวดี แต่ รศ.ดร.อัทธ์ เตือนว่า ต้องเตรียมใจสำหรับภาษีถัดไป โดยเฉพาะภาษีสวมสิทธิ์ (evasion/tariff circumvention) ที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้ประกาศ “เวียดนามโดนไป 40% แล้วจะให้ไทย 0% มันเป็นไปไม่ได้ 19% อาจยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เราอาจโดนอีกชุดก็ได้” ⸻ เปิดเอาอะไรไปแลก? และภาคการผลิตไทยพร้อมรับมือแค่ไหน สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ภาษี แต่คือ รัฐบาลไทยแลกอะไรไปกับอัตราภาษีนี้ “ต้องกางให้ชัดว่าเราเปิดนำเข้าสินค้าอะไร โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เพราะกระทบตรง ๆ ต่อผู้ผลิตไทย” สินค้าที่น่ากังวลที่สุดในสายตาของ ดร.อัทธ์ คือ “เนื้อหมู” เพราะไวต่อการแข่งขันที่สุด และเกี่ยวพันกับห่วงโซ่ภายในประเทศ ขณะที่สินค้านำเข้าอย่างแอปเปิลหรือเชอรี่ ยังไม่กระทบมากเพราะเราไม่ได้ผลิตและมีคู่แข่งจากจีน–ออสเตรเลียอยู่แล้ว ตรงข้ามประชาชนจะได้ซื้อผลไม้เหล่านี้ในราคาที่ถูกลง เขาเตือนว่ารัฐบาลต้องหยุดปิดข้อมูลเพื่อหลีกเลี่ยงแรงต้านทางการเมือง แต่ควร “กางไพ่” ทั้งหมดให้ภาคการผลิตรู้และเตรียมรับมือ ⸻ เอสเอ็มอี–เกษตรกร: เสียเปรียบซ้ำซ้อน ต้องได้รับการเยียวยา “วันนี้เราจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 19% ในขณะที่สินค้าเวียดนามถูกกว่า 5–10% แค่เสียภาษีน้อยกว่าเวียดนาม 1% ไม่พอจะพลิกสมรภูมิการส่งออก…
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งต่อรัฐบาลไทย ที่ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐ ในการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยลงเหลือ 19% จาก 36% ถือเป็นพัฒนาการที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยและเศรษฐกิจไทยโดยรวม รวมถึงลดความไม่แน่นอนที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน “สมาคมฯ ขอแสดงความชื่นชมทีมเจรจาการค้าของไทยอ ที่ได้ทุ่มเททำงานหนักอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา จนนำไปสู่ความสำเร็จของข้อตกลงในครั้งนี้ ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน และรักษาการจ้างงานภายในประเทศ” โดยความสำเร็จของการเจรจาดังกล่าว จะเอื้อและสนับสนุนให้ประเทศไทยเร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง คู่ขนานไปกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ทั้งการยกระดับกระบวนการผลิต มาตรฐานสินค้า และการใช้เทคโนโลยี โดยอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมาย และจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาให้ภาคเอกชนมีความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริง สอดคล้องกับเมกาเทรนด์ต่างๆ ของโลก ทั้งนี้สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก สนับสนุนรัฐบาลในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และกำลังเร่งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดัน “โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและสินเชื่อเพื่อการพัฒนาศักยภาพ” สนับสนุนภาคธุรกิจ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SME ลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ยกระดับมาตรฐานการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างครอบคลุม และทั่วถึงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
รัฐบาล โดย ศบ.ทก. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ นำคณะเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ อุปทูต 2 ประเทศ ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 6 ประเทศ และทูตทหาร รวม 23 ประเทศ อาทิ จีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อิตาลี ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย พร้อมสื่อมวลชนไทย สำนักข่าว/หน่วยงาน และสื่อต่างประเทศ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา โดยลำดับเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชายั่วยุตั้งแต่ต้นปี 2568 ผ่านกิจกรรมทางทหารและพลเรือน เช่นพานักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในปราสาทตาเมือนธม เผาศาลาตรีมุข ดัดแปลงพื้นที่ เสริมกำลังและยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดน ลักลอบขุดคูติดต่อในเขตไทย และวางทุ่นระเบิด PMN-2 ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บหลายราย ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง ส่งมวลชนและทหารจัดกิจกรรมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ทำให้เกิดการปะทะกับคนไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยจึงใช้มาตรการควบคุมชายแดน โดยล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก แต่ฝ่ายกัมพูชายกระดับการโจมตียิงใส่ทหารไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนลึกเข้าไปในประเทศไทย เช่น รพ., ปั๊มน้ำมัน, ร้านสะดวกซื้อ, โรงเรียน และบ้านเรือนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก และต้องอพยพมากกว่า 150,000 คน ฝ่ายไทยตอบโต้ตามหลักป้องกันตนเอง อย่างจำเป็นและได้สัดส่วน โดยมีเป้าหมายทางทหาร ขณะที่กัมพูชายิงจากเขตพลเรือนและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ หลังเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง ได้บุกรุกพื้นที่ 6 จุด โดยดำเนินการ ต่อถึงวันที่ 30 ก.ค. และวันที่ 31 ก.ค. 68 พบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทยเพื่อสอดแนม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง ไทยยังตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชาอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาว่าไทยรุกรานและละเมิดอธิปไตย ใช้ระเบิดเคมี หรือกล่าวหาใช้ F-16 และอาวุธหนักเพื่อโจมตี ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง รวมถึงกล่าวหาทิ้งระเบิด MK-84…
“พงศกร” คาดทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1-3 พันนาย แต่ถูกปกปิดไว้ เพื่อการเมืองภายใน “ผมคาดว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิตสูง 1- 3 พันคน แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขสูญเสีย เพราะจะกระทบต่อบารมี และเครดิตของผู้นำกัมพูชา และทำให้เกิดความปั่นป่วนการเมืองภายใน” พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการ สมช. เปิดเผยในรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง โดยคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เที่ยงเปรี้ยงปร้าง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย #TruthFromThailand #ละเมิดหยุดยิง #อาชญากรสงคราม #ประณามกัมพูชา
เป็นการแถลงเจตนารมณ์การจัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 ของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 10 โมงถึง 3 ทุ่ม โดยครั้งนี้สาระหลักที่แกนนำแถลงคือการส่งกำลังใจและสนับสนุนทหารในแนวหน้า และประชาชนที่ประสบภัยการสู้รบ นอกจากนี้ยังระดมทรัพย์ปัจจัยเพื่อช่วยเหลือทหารแนวชายแดนด้วย นอกจากนี้ยังจะสะท้อนปัญหาอธิปไตย และบูรณภาพดินแดนในขณะนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ใครก่อ ใครรุกราน ซึ่งชัดเจนแล้วว่าเป็นความขัดแย้งผู้นำ 2 ประเทศที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเช่นนี้ ซึ่งนำไปสู่การออกมาเรียกร้องให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตรลาออก พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ ระบุเรื่องการปะทะจนเกิดความสูญเสีย เป็นความรับผิดชอบของตระกูลชินวัตร และต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกของนางสาวแพทองธาร ยืนยันกลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯ ไม่เรียกร้องรัฐประหารหรือเปิดทางอำนาจนอกระบบแต่อย่างใด #ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย #TruthFromThailand #ละเมิดหยุดยิง #กัมพูชาชิงธงนำ #อาชญากรสงคราม #ประณามกัมพูชา #กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน #แนวหลังแนวหน้าหัวใจ
การเก็บภาษีนำเข้าที่ประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 เป็นนโยบายที่สะท้อนถึงกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผ่านกรอบแนวคิด Realpolitik ซึ่งเน้นการใช้พลังอำนาจและผลประโยชน์แห่งชาติเป็นตัวกำหนดนโยบายมากกว่าอุดมการณ์หรือความร่วมมือระหว่างประเทศแบบเสรีนิยม บทความนี้จะวิเคราะห์ที่มาของอัตราภาษี 19% โดยเปรียบเทียบกับระบบภาษีของประเทศไทย และสำรวจผลกระทบต่อการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในบริบทของโลกที่เผชิญกับความท้าทายใหม่จากนโยบายของทรัมป์ โดยเชื่อมโยงกับแนวคิด Realpolitik เพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ และปฏิกิริยาของนานาชาติ การเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา: วัตถุประสงค์และกลยุทธ์ในกรอบ Realpolitik การกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 19% โดยสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (Bown, 2025) แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับหลักการ Realpolitik ที่เน้นการรักษาอำนาจและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ ทรัมป์ได้ใช้ภาษีนี้เป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลการค้า โดยเฉพาะกับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ เช่น ไทย ซึ่งในปี 2024 มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (SCB EIC, 2025) อัตราภาษี 19% จึงถูกออกแบบมาเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าให้ยอมรับเงื่อนไขการค้าที่เอื้อต่อสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกันหรือการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาของทรัมป์ที่มุ่ง “นำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจกลับคืนมา” (White House Statement, 2025) แนวคิด Laffer Curve ซึ่งทรัมป์นำมาใช้เป็นรากฐานทางทฤษฎี ระบุว่าอัตราภาษีที่เหมาะสม (ในกรณีนี้ 19%) จะเพิ่มรายได้รัฐโดยไม่ทำลายการค้าโลกอย่างสิ้นเชิง (Gale & Samwick, 2025) อย่างไรก็ตาม ในมุมมอง Realpolitik อัตราดังกล่าวไม่ใช่แค่การคำนวณทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการแสดงพลังเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ท่ามกลางการแข่งขันกับจีน ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 145% ในบางช่วง (BBC, 2025) การตั้งภาษี 19% กับไทยและบางประเทศในอาเซียนจึงเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ พร้อมใช้ “ไม้แข็ง” กับพันธมิตรที่ยังไม่ยอมจำนนต่อนโยบายการค้าใหม่ เปรียบเทียบกับระบบภาษีในประเทศไทย: ความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ระบบภาษีของประเทศไทยมีลักษณะแตกต่างจากสหรัฐฯ อย่างชัดเจน โดยเน้นการเก็บภาษีภายในประเทศเป็นหลัก ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอัตราตั้งแต่ 0% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับรายได้ (Revenue Department, 2025) ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ 20%…
“ทางเขมรรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากกองทัพเขมรก็ส่งคนป่วยรักษาที่เสียมก็ไม่ยอมให้ไป พวกเสียมไม่มีน้ำใจ” พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกอาการเหวี่ยงพร้อมลุกขึ้นทันทีหลังพูดจบประโยค เพราะไม่พอใจกับข่าวโรงพยาบาลในไทยไม่รับผู้ป่วยและทหารเขมร ทำให้คลิปนี้กลายเป็นไวรัล และแชร์กันอย่างมาก เพราะเป็นคำพูดที่ย้อนแย้งกับการกระทำของกัมพูชาที่ยิงถล่มเป้าหมายพลเรือน โรงเรียน บ้านเรือน รวมถึงโรงพยาบาลตามแนวชายแดน จนนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยสำหรับสถานที่ที่ควรได้รับการปกป้องตามสนธิสัญญาเจนีวา #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#กัมพูชาชิงธงนำ#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
