- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
ภาพ “ร่างผู้กล้า” ของทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดน (ตามคำอ้างของน้องชายว่า ถูกยิงด้วยสไนเปอร์จากฝ่ายไทย) นอนสงบนิ่งอยู่ในศาลาไม้เก่า ๆ ครอบครัวต้องเปิดรับบริจาคเพื่อจัดงานศพ เพราะไม่มีแม้แต่เงินช่วยเหลือจากรัฐ — ไม่มีพิธี ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีคำสดุดี “รัฐบาลส่งพี่ชายไปแนวหน้าเพื่อปกป้องชาติ แต่ตอนกลับมา เขาถูกทิ้งให้นอนขึ้นอืดในศาลากองกันหลายสิบศพ ” — น้องชายผู้เสียชีวิต ในขณะที่…ทหารไทย 3 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน ได้รับการเชิดชูอย่างสมเกียรติ: ปูนบำเหน็จพิเศษ 7–9 ขั้น ขอพระราชทานยศใหม่สูงขึ้น มอบเงินช่วยเหลือรายบุคคลระหว่าง 2–3 ล้านบาท ส.อ.จิรายุส อินทุมาน: 3,013,672 บาท ส.ท.ศราวุธ นามสวัสดิ์: 2,596,616 บาท พลทหาร ญาณพัฒน์ โคตรสาชา: 2,088,828 บาท รวมทั้งสิ้น ประมาณ 7.7 ล้านบาท พร้อมสิทธิบรรจุทายาทเข้ารับราชการต่อ มี ผบ.ทบ. และ ผช.ผบ.ทบ. ร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพ “ทหารกล้าเหล่านี้ คือวีรบุรุษของชาติ ที่จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของคนไทยตลอดไป” — กองทัพบกสดุดีนับรบไทย สนามรบเดียวกัน เสียสละเหมือนกัน แต่…การยกย่องผู้สละชีพปกป้องแผ่นดินไม่เหมือนกัน และที่สำคัญที่สุด — จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิตทั้งหมดกี่นาย เพราะรัฐบาลกัมพูชายังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แตกต่างจากฝั่งไทยที่แถลงข่าวและแจงรายละเอียดต่อสาธารณะอย่างชัดเจน สงคราม…พรากชีวิต แต่รัฐที่วิปริต…พรากแม้แต่ศักดิ์ศรีของทหารตัวเอง #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#กัมพูชาชิงธงนำ#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
กองทัพบก นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทนทูต 11 ประเทศ ทูตทหาร 24 ประเทศ พร้อมสำนักข่าวต่างประเทศลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือน โรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พร้อมรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา โดยจะไปที่ร้านสะดวกซื้อที่ฝ่ายกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่ สถานีบริการนำมัน ที่ทำให้ประชาชนไทย เสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี บาดเจ็บจำนวน 10 คน ก่อนไปโรงเรียน และ รพ.สต.ที่ได้รับความเสียหาย สำหรับ เอกอัครราชทูต 3 ประเทศ : บรูไน, ญี่ปุ่น, เมียนมา / ระดับอุปทูต 3 ประเทศ : มาเลเซีย, สปป.ลาว, อินโดนีเซีย, ผู้แทนทางการทูตระดับต่างๆ 5 ประเทศ สหรัฐฯ, สิงคโปร์, จีน, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ รวม 11 ประเทศ ขณะที่ ผู้ช่วยทูตทหาร รวม 23 ประเทศ 1.จีน 2.มาเลเซีย 3.ปากีสถาน 4.เกาหลีใต้ 5.รัสเซีย 6.สิงคโปร์ 7.เยอรมัน 8.อินเดีย 9.ลาว 10.แคนาดา 11.ฝรั่งเศส 12.สหรัฐอเมริกา 13.ฟิลิปปินส์ 14.ญี่ปุ่น 15.เวียดนาม 16.อิตาลี 17.เนเธอร์แลนด์ 18.อินโดนิเซีย 19.สวีเดน 20.สวิตเซอร์แลนด์ 21.บรูไน 22.ทูร์เคีย 23.สหราชอาณาจักร พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก บอกว่าวัตถุประสงค์การพาไปดูพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ คือผลกระทบจากการใช้อาวุธทหารกัมพูชามาที่เป้าหมายพลเรือน ได้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน มีปั๊มน้ำมันในร้านสะดวกซื้อ และปิดท้ายไปที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบขนาดไหน เป้าหมายหลักเน้นเรื่องของข้อเท็จจริง อาจจะไม่เหมือนทั้งฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะสถานที่หรือจุดที่ไปทั้งหมดนั้นเป็นจุดเกิดเหตุที่เกิดขึ้นจริงๆ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#กัมพูชาชิงธงนำ#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
เป็นรายงานล่าสุดที่ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งกำหนดภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ทั่วโลกกับไทยอัตรา 19 % จากเดิม 36 % จะมีผลในอีก 7 วันหลังจากวันลงนามคำสั่ง นับว่าเลื่อนจากเดิมที่กำหนดมีผล 1 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ทีมไทยแลนด์เจรจากับทีมการค้าสหรัฐฯมาต่อเนื่อง รวมถึงเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์กดดัน หลังเตือนว่าอาจไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชา หากทั้งสองประเทศยังคงสู้รบกัน และนำมาสู่การเจรจาหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะกำแพงภาษีที่สหรัฐฯให้กับกัมพูชาก็เหลือ 19% เช่นเดียวกัน ทั้งนี้พบว่าอัตราภาษีชาติอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งบรรลุข้อตกลงการค้ากับรัฐบาลทรัมป์แล้ว นอกจากไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ที่ได้ 19% แล้วเวียดนาม 20 % บรูไน 25 % สิงคโปร์ 10 % (ภาษีอัตราฐาน) ลาว 40 % และ เมียนมา 40 % ส่วนอัตราภาษีสวมสิทธิ์ เวียดนาม 40 % อินโดนีเซียบวกเพิ่มภาษีต่างตอบโต้ของประเทศนั้นๆ สำหรับ Tariff rate ที่ 19% ที่ประเทศไทยได้รับ ทำให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ว่าสะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ และเป็นสัญญาณให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในอนาคต ส่วนผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลจัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็น เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกการปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง win-win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว#ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#ภาษีทรัมป์#โดนัลทรัมป์#สหรัฐฯ#ข้อตกลงไทยสหรัฐ#ไทย19เปอร์เซ็นต์
“หยุดยิงอาจเป็นบ่วง…ที่กัมพูชาวางไว้ให้ไทยติดกับ” —รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ⸻ เจรจาหยุดยิง—เกมการทูตที่ไทยอาจพลาดตั้งแต่ต้นฉาก ข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาเมื่อ 28 ก.ค. ที่ดูเผิน ๆ เหมือนเป็น “ทางออก” อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้ไทยติดหล่มทั้งทางทหารและการทูต รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร มองว่า แผนของกัมพูชาอาจไม่ได้หยุดอยู่แค่เส้นเขตแดน แต่พุ่งเป้าไปที่การวางหมากล้อมไทยในหลายระดับ “กัมพูชาอาจวางหมากไว้แต่ต้น จุดยุทธศาสตร์ที่เขาต้องการจริงคือ ‘ปราสาทตาควาย’ ซึ่งยังมีทหารเขมรประจำการอยู่ แม้ทหารไทยจะควบคุมพื้นที่โดยรอบได้ แต่ด้วยกรอบเวลาหยุดยิง ทำให้ภารกิจยึดคืนสำเร็จไม่ครบตามเป้าหมาย” ⸻ หยุดยิงไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มความได้เปรียบกัมพูชา การเจรจาหยุดยิงกลายเป็นเวทีที่กัมพูชาชิงความได้เปรียบอีกครั้ง โดยเฉพาะการเจรจาที่มาเลเซีย ซึ่งไทยเสียเปรียบตั้งแต่รูปแบบไปจนถึงจังหวะการสื่อสาร “เวลาแถลงของผู้นำสองฝ่ายไม่เท่ากัน ทั้งที่เจ้าภาพสามารถจัดการเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบได้ แต่เราจะโทษเขาทั้งหมดก็ไม่ได้ กระทรวงการต่างประเทศควรดูแลอย่างรอบคอบกว่านี้” ไม่เพียงแค่ความเสียเปรียบในเรื่องการสื่อสาร แต่การหยุดยิงจากผลเจรจาครั้งนั้นยังกระทบต่อปฏิบัติการทางทหารของไทยจนทำให้ไม่สามารถปิดภารกิจได้สมบูรณ์ในพื้นทที่ปราสาทตาควายด้วย ⸻ หากมีการวางบ่วงจริง ใครบ้างร่วมผูกบ่วง? บทบาทของมาเลเซีย–สหรัฐ–จีน ไม่ใช่แค่กัมพูชา—อาจารย์ปณิธานตั้งคำถามว่า ประเทศอื่นอาจมีส่วนร่วม “ผูกบ่วง” นี้ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะเจ้าภาพการเจรจาอย่างมาเลเซีย “เราวางใจมาเลเซียเพราะความสัมพันธ์ระดับผู้นำ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นลบ ทุนที่โยงกับรัฐบาลมาเลเซียก็ไปลงทุนในกัมพูชาอยู่มาก ก็เป็นอีกหนึ่งข้อกังขาว่าส่งผลอะไรต่อบทบาทของมาเลเซียต่อข้อพิพาทไทยกัมพูชาหรือไม่?” ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็มีท่าทีที่น่ากังวล โดยเฉพาะคำพูดของ “ทูตสหรัฐฯ ประจำไทยคนใหม่” ที่บอกว่า “การปะทะไม่เป็นผลดีกับความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ” ซึ่งเปิดช่องให้ตีความว่าเข้าข้างกัมพูชา “นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่มืออาชีพควรพูดในสถานการณ์ล่อแหลม กระทรวงต่างประเทศไทยต้องเร่งทำความเข้าใจ และอธิบายภาพรวมให้เขาชัดเจนกว่านี้” ส่วนจีนก็เตรียมเข้ามามีบทบาท โดยเชิญไทย–กัมพูชาไปเจรจาร่วมในอีกเวทีหนึ่ง ซึ่งไทยควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ “จีนใกล้ชิดกับกัมพูชา ถ้ารับให้จีนเข้ามา เราต้องดูให้รอบด้าน เพราะถ้าไม่ไปก็อาจเสียโอกาสเช่นกัน” ⸻ ไทยไร้ผู้นำ–ไร้ไหวพริบ–ไร้พันธมิตรที่แข็งแรง “ความเสียเปรียบของเราอีกเรื่องคือ ไม่มีผู้นำตัวจริง นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ รักษาการก็ตัดสินใจไม่คล่องตัว อดีตผู้นำก็มีคดีค้าง สถานการณ์นี้ทำให้มีช่องว่างในจังหวะที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด” เขาชี้ว่าไทยเสียเปรียบในหลายมิติ เพราะไม่ได้วางยุทธศาสตร์พันธมิตรอย่างลึกซึ้งมานานกับ สหรัฐฯ กับจีนก็ยังมีเรื่องคาใจ ส่วนมาเลเซียก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่กับกัมพูชา ⸻ สมรภูมิข้อมูล–เวทีโลก ยังไม่สายถ้าไทยจะเดินเกมรุก ไทยยังมีโอกาสกลับมาทวงคืนพื้นที่ในทางการทูต หากจัดการ “สมรภูมิข้อมูล” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับประเทศที่ได้รับข่าวจากฝั่งกัมพูชาก่อน “เราต้องรีบอธิบายให้ผู้ช่วยทูตต่างชาติเข้าใจว่า กัมพูชาโจมตีพลเรือน วางทุ่นระเบิดทั้งที่ช่องบกและปราสาทตาควาย…
มีรายงานว่าผู้ช่วยทูตทหาร 23 ชาติ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป จีน อินเดีย และสื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนัก ตอบรับเข้าร่วมขบวนลงพื้นที่ฝั่งไทยในวันพรุ่งนี้ เพื่อสำรวจความเสียหายที่ฝ่ายกัมพูชา โจมตีบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมันจนมีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมกับแสดงหลักฐานกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกด้วย ขณะที่วันนี้กองทัพบกโดยกรมข่าวทหารบก ร่วมหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย โดยมี พล.ท.กำชัย วงศ์ศรี เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานในการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการจัดตั้ง Interim ASEAN Defence Attaches Monitoring Team (Interim ASEAN DAs Monitoring Team) ในการปฏิบัติหน้าที่สังเกตการณ์สถานการณ์หยุดยิง (Ceasefire) ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ตามข้อตกลงหยุดยิง ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นกลไกเบื้องต้นในการติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team (AMIT) ในอนาคต ซึ่งจะทำหน้าที่หลักในการเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไป ซึ่งจะถูกหยิบยกขึ้นในการหารือในเวทีประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ General Border Committee (GBC) ระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4 ส.ค.68 นี้ ทั้งนี้กองทัพบกพร้อมดำเนินการในทุกมิติเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันจุดยืนของไทยในการเคารพหลักสากลระหว่างประเทศ ไม่รุกรานและไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งส่งเสริมสันติภาพและความสงบสุขระหว่างประเทศอย่างอย่างยั่งยืน #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา
นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับแจ้งเรื่องนี้จากเจ้าหน้าที่พรรคประชาธิปัตย์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาส่งหนังสือเลขที่ ตช 0001(จตช 2)/289 ลงวันที่ 31 ก.ค. 68 เนื้อหาระบุสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 371/2568 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณี พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งแพทย์ใหญ่ และ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทยใหญ่ โดยแพทย์ทั้ง 2 ถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย จากคณะกรรมการแพทยสภา ในการประชุมครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีมติลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของ พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ เป็นเวลาสามเดือน และลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ เป็นเวลาหกเดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซี่งกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมวงกว้าง คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เห็นว่า ในกรณีดังกล่าวนายวัชระได้ยื่นคำร้องต่อแพทยสภาขอให้ตรวจสอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมของ พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ และ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ดังนั้น เพื่อให้ได้รายละเอียดและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าวครบถ้วนและชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอเชิญเข้าให้ถ้อยคำในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เวลา 13.30 นาฬิกา ณ สำนักงานรองจเรตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้นายวัชระ ยินดีให้ความร่วมมือกับทางราชการทุกประการ โดยไม่ได้มีเจตนาให้ผู้ใดต้องถูกลงโทษ แต่ต้องการทำหน้าที่ด้วยความสำนึกของอดีต สส. #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#รัฐบาลแพทองธาร#หมอใหญ่ชั้น14#แพทองธารชินวัตร#วัชระเพชรทอง#ทักษิณชินวัตร#ชั้น14#แพทยสภา#ป่วยทิพย์
“ผมฝันว่าทักษิณจะหนี…แต่หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นจริง” —ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ⸻ 3 ประเด็นคำร้อง “ชั้น 14” มัดแน่น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดี “ทักษิณชั้น 14” ในวันที่ 9 กันยายนนี้ หลังไต่สวนตลอด 7 นัดเต็มตามคำร้องของชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ชี้ให้ศาลฯพิจารณาใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. การบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายราชทัณฑ์ 2. การสมคบช่วยเหลือทักษิณหลีกเลี่ยงการจำคุก โดยหลอกลวงประชาชนว่า “ป่วย” 3. ขอให้ศาลฯ นำตัวทักษิณกลับเข้าเรือนจำ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาจำคุก 1 ปี หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ “ศาลฯ ไม่ได้ออกนอกกรอบคำร้องแม้แต่น้อย ไต่สวนครบถ้วน โปร่งใส ยุติธรรมทุกฝ่าย ฝ่ายทักษิณก็ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว” — ชาญชัยกล่าว ⸻ “ไม่ได้ป่วยจริง ไม่ได้ติดคุกจริง” ประเด็นสำคัญที่ตอกย้ำตลอดการไต่สวนของศาลฯ คือ ทักษิณไม่ได้ป่วยจริง และไม่ได้รับโทษตามคำพิพากษา “การปฏิบัตินั้นผิดทั้งกฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา 54–55 เพราะส่งไปอยู่ห้องพิเศษที่ห้ามไว้ และผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246 เพราะไม่มีการขออนุญาตศาลก่อนนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ” ชาญชัยย้ำว่า มติแพทยสภาที่ลงโทษพักใบอนุญาตแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 2 คน คือหลักฐานชัดเจนที่ “มัด” ว่าทักษิณป่วยทิพย์ ไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรงตามที่กล่าวอ้าง “อาจมีอาการที่ต้องไปโรงพยาบาลเป็นครั้งคราว แต่อย่างมากก็เดือนเดียว ไม่ใช่นอนยาว 180 วัน!” ⸻ “คนโกงบ้านโกงเมือง ต้องรับโทษให้ครบ” เขาย้ำว่า ทักษิณไม่ได้ถูกนำไปรักษาตัวในฐานะอดีตนายกฯ แต่เป็น “นักโทษคดีทุจริต” ที่ยอมรับผิดใน 3 คดี โกงบ้านโกงเมือง ขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี — ซึ่งก็ควรกลับไปชดใช้กรรมตามกฎหมาย “แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คือความพยายามสมคบกันช่วยให้ทักษิณหนีคุก…
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประธานคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายไทย มีหนังสือตอบหนังสือเชิญประชุม GBC ในวันที่ 4 สิงหาคมที่กรุงพนมเปญ โดยระบุว่ายินดีที่นำคณะเข้าร่วมประชุม ที่เป็นการเปิดโอกาสความร่วมมือ ลดความตึงเครียด และแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน สะท้อนถึงพันธกิจร่วมที่จะธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ การเคารพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ก่อให้เกิดประโยชน์ไม่เพียงแต่ต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ยังจะช่วยส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งอาเซียนอีกด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนในทั้งสองประเทศ จึงใคร่ขอเสนอให้จัดประชุมในประเทศมาเลเซีย แม้ว่าตามปกติ การเป็นเจ้าภาพการประชุมทวิภาคีจะหมุนเวียนกัน แต่การประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นกรณีพิเศษ จึงเชื่อว่าการจัดการประชุมในสถานที่ที่เป็นกลางน่าจะเป็นการเหมาะสมมากกว่า ประเทศไทยได้หารือกับฝ่ายมาเลเซียแล้ว และทราบว่ามาเลเซียพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมครั้งสำคัญนี้ นอกจากนี้ ด้วยประเด็นและความสำคัญของปัญหาที่จะต้องหารือกัน จึงเห็นว่าประชุมวันเดียวตามที่เสนอในเบื้องต้นอาจไม่เพียงพอต่อการหารือที่ครอบคลุม จึงเสนอให้ขยายเวลาการประชุมเป็นวันที่ 4–7 สิงหาคม โดยวันที่ 4–6 สิงหาคม เป็นการประชุมของฝ่ายเลขานุการ และวันที่ 7 สิงหาคม เป็นการประชุมพิเศษของ GBC ทั้งนี้ในจดหมายยังระบุว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะพิจารณาข้อเสนอเหล่านี้ด้วยไมตรีจิต และขอยืนยันอีกครั้งว่าข้าพเจ้าและฝ่ายไทยมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์และมองไปข้างหน้า เพื่อให้การประชุมครั้งนี้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการประชุม #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา#ประชุมgbc
สว.เศรณี อนิลบล สว.กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง ซึ่งเปิดตัวเป็นที่รู้จักในแวดวงสื่อมวลชนและประชาชน ในฐานะผู้หลั่งน้ำตากลางสภาฯ หลังญัตติตั้ง กมธ.แก้ปัญหาน้ำท่วม ไม่ผ่านสภา โดยบอกเจ็บปวด ใครที่บ้านไม่เคยถูกน้ำท่วม ไม่เคยสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะน้ำท่วมพื้นที่ทำกินจะไม่รู้สึก หลังหายเงียบไป เมื่อวานเขาก็เป็นข่าวโด่งดังอีกครั้งเมื่อขับรถเข้าพื้นที่อาคารรัฐสภา แต่ รปภ.ประจำจุดเข้า-ออก ขอให้จอดรถ และเปิดกระจกรถ เพื่อตรวจสอบตามกฎระเบียบ และดูแลความปลอดภัย ซึ่งสร้างความไม่พอใจ กระทั่งต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ชี้หน้าข่มขู่ รปภ. ที่ไม่ยอมจดจำรถ และบัตรประจำตัวของ สว. ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภามาช่วยไกล่เกลี่ย และขออภัยแทน รปภ.จนต้องเปิดแผงเหล็กกั้นให้เข้าอาคารรัฐสภา ล่าสุดวันนี้ จบด้วยไหว้สวยขอโทษสื่อมวลชนกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น พร้อมอ้างเพราะฝนตกจึงไม่อยากลดกระจกลง และคิดว่ามีสติกเกอร์ผ่านเข้า-ออกแล้ว นี่คือเรื่องราวของ สว.เศรณี ที่มีหลากอารมณ์จริงๆ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#สวเศรณี#อาคารรัฐสภา#สวกร่าง#จบด้วยไหว้สวย
เป็นจดหมายเชิญ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ โดยพลจัตวา บุญ เอ็ง พิเซต รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ สำนักงานผู้ช่วยทูตทหาร สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำราชอาณาจักรไทย ส่งจดหมายถึง พันเอก กรวรานนท์ กลั่นพรมสุวรรณ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ใจความจดหมายระบุว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า หนังสือเชิญจาก พลเอก เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ถึง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัยวิสามัญของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา” เนื้อหาจดหมายยังระบุด้วยว่า พลเอกณัฐพลเข้าร่วมการประชุมในฐานะประธานร่วม พร้อมทั้งนำคณะผู้แทนฝ่ายไทยจำนวน 25 คน ทั้งนี้ คณะเลขานุการของทั้งสองประเทศจะประสานงานกันเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมวิสามัญครั้งนี้ #ThePublisherTH#สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม#กัมพูชายิงก่อน#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด#CambodiaOpenedFire#ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย#TruthFromThailand#ละเมิดหยุดยิง#อาชญากรสงคราม#ประณามกัมพูชา#ประชุมgbc
