ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความเห็นต่อกรอบแนวทาง 5 ข้อของรัฐบาลไทยในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา พร้อมนำเสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพื่อเสริมให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแก้วิกฤติการค้าระยะสั้น
กรอบเจรจา 5 ข้อของรัฐบาลไทยที่เป็นข่าว
1. ความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนกัน เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง
2. การเปิดตลาดสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด โดยใช้โควตานำเข้าแบบยืดหยุ่น
3. การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐ เช่น ก๊าซธรรมชาติและเครื่องบินพาณิชย์
4. การคัดกรองสินค้าส่งออกเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
5. การเพิ่มการลงทุนของไทยในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐ
สมเกียรติระบุว่า กรอบแนวทางนี้ “พอตอบโจทย์ของรัฐบาลสหรัฐได้บ้าง” และ “เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” แต่เสนอให้รัฐบาลไทยใช้โอกาสนี้ผลักดันนโยบายที่ส่งผลดีในระดับโครงสร้างด้วย
1) การเปิดตลาดและลดภาษีสินค้าเกษตร
ดร.สมเกียรติเห็นว่า การปลูกข้าวโพดในไทยไม่สอดคล้องกับความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ และต้องพึ่งพาโควตานำเข้าเพื่อคุ้มครอง ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูง และส่งผลต่อปัญหา PM 2.5 จากการเผาแปลง
เขาเสนอให้ “ยกเลิกโควตา” นำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลือง โดยเปลี่ยนเป็น “ภาษีนำเข้า” ที่โปร่งใสมากกว่า และลดช่องแสวงหาผลประโยชน์ พร้อมเสนอให้ช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับตัว และไม่ให้กลุ่มผลประโยชน์ใช้เป็นข้ออ้างคัดค้านการเปลี่ยนแปลง
2) การคัดกรองสินค้าส่งออก
แม้จะเห็นด้วยในหลักการ แต่สมเกียรติชี้ว่า การคัดกรองสินค้าส่งออกเพื่อกันการสวมสิทธิ์ทำได้ยาก และอาจส่งผลให้การส่งออกล่าช้า อีกทั้งหากเน้นเฉพาะตลาดสหรัฐ อาจทำให้ตลาดอื่น เช่น ยุโรป ตั้งมาตรการกีดกันเช่นกัน
เขาเสนอให้ “คัดกรองการลงทุน” ที่ย้ายฐานมาประเทศไทยเพื่อเลี่ยงภาษีของประเทศปลายทาง เช่น สหรัฐ แทน โดยให้บีโอไอใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ส่งเสริมเฉพาะการลงทุนที่สร้างมูลค่าเพิ่มแท้จริง และเพิกถอนสิทธิส่งเสริมหรือใบอนุญาตโรงงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์
พร้อมกันนี้ เสนอให้ไทยเข้มงวดกับ “สินค้านำเข้า” ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ผัก-ผลไม้ที่พบสารตกค้าง และสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. ซึ่งกระทบผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ
3) ข้อเสนออื่น ๆ ต่อรัฐบาลไทย
• ยกเลิกสินบน 30% จากค่าปรับศุลกากร เพื่อความโปร่งใสของระบบ
• ทบทวนกฎระเบียบด้านการนำเข้า-ส่งออกสินค้าปศุสัตว์ ให้สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์และมาตรฐานสากล
• เปิดเสรีบริการโทรคมนาคมและปรับกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าวจาก positive-list เป็น negative-list
• ขยายการลดภาษีและยกเลิกโควตานำเข้าสินค้า เช่น กาแฟ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม Specialty Coffee ในประเทศ
ดร.สมเกียรติระบุว่า หากดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้นได้ รัฐบาลจะสามารถใช้สถานการณ์เจรจาการค้าในครั้งนี้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยได้ในคราวเดียวกัน ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองแรงกดดันเฉพาะหน้าเท่านั้น
อ่านบทความต้นฉบับ https://tdri.or.th/2025/04/comments_on_gov_negotiation_framework/