วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของ กสทช. เมื่อคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายจะพิจารณาวาระสำคัญว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ จะยังมีสิทธิร่วมประชุมในวาระที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ได้หรือไม่
ปมปัญหานี้สะท้อนคำถามใหญ่ 2 ข้อในเวลาเดียวกัน
• กติกาที่ออกแบบมาเพื่อความเป็นธรรม
อาจกลายเป็นเครื่องมือ “บล็อก” ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่?
• และการฟ้องร้องจาก นิติบุคคลหนึ่ง ในเครือ
จะเป็นเหตุให้ต้องถอนตัวจาก ทุกวาระ ที่เกี่ยวข้องกับเครือบริษัทเดียวกันได้จริงหรือ? เป็นธรรมหรือเปล่า?
จาก “ทรูไอดี” ฟ้องพิรงรอง สู่ความพยายามบล็อกจากทุกวาระทรู
เรื่องเริ่มต้นจาก บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ซึ่งให้บริการแอปทรูไอดี ได้ยื่นฟ้อง พิรงรอง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ปี 2566 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
กล่าวหาว่า หนังสือที่สำนักงาน กสทช. ออกไปถึงผู้ประกอบการกว่า 127 ราย อาจทำให้ทรูไอดีเสียหายทางชื่อเสียงและธุรกิจ ต่อมา ศาลมีคำสั่งรับฟ้อง และพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา (6 ก.พ. 2568)
แต่พิรงรองได้รับการประกันตัว และอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์
บริษัททรูฯ อีกหลายแห่ง — รวมถึง ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
จึงได้ยื่นหนังสือคัดค้านไม่ให้พิรงรองพิจารณา “ทุกวาระ” ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทรู
แต่… นิติบุคคลไม่ใช่กลุ่มเครือ
นักกฎหมายหลายท่านชี้ว่า การฟ้องร้องของทรู ดิจิทัล ไม่สามารถขยายความไปถึงบริษัทอื่นในเครือเดียวกันได้ เนื่องจากแต่ละบริษัทในกลุ่มทรูเป็น “นิติบุคคลที่แยกจากกัน” ตามกฎหมาย
บริษัทที่ฟ้องคือ ทรู ดิจิทัล แต่บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. และเข้ารับการพิจารณาในวาระต่าง ๆ คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือบริษัทอื่นในกลุ่ม ซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลกัน
ดังนั้น แม้จะอยู่ในเครือเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ “คู่กรณี” ตามความหมายของ มาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และการคัดค้านกรรมการ ควรเป็นรายกรณี ไม่ใช่ “เหมารวม” ทุกวาระของกลุ่มบริษัท
การตีความ “ความไม่เป็นกลาง” อาจกลายเป็นเครื่องมือบิดเจตนารมณ์กฎหมาย
แม้ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงาน กสทช. จะชี้ว่า คดีของพิรงรองยังไม่ถึงที่สุด และไม่มีสภาพร้ายแรงตามมาตรา 16 แต่ในที่ประชุม กสทช. กลับมีความเห็นแตกต่าง
กรรมการบางคนเห็นว่า พิรงรองควรออกจากการประชุม
เพื่อให้กรรมการที่เหลือ ลงมติว่า “มีลักษณะขาดความเป็นกลางหรือไม่”
ปัญหาอยู่ที่ –
หากไม่มีเสียงเห็นชอบ “สองในสามของกรรมการที่เหลือ” ก็ไม่สามารถให้อยู่ต่อได้
ซึ่งในสภาวะที่บอร์ด กสทช. แตกร้าว และมีแนวโน้มใช้เสียงเพื่อดุลการเมืองหรือกลุ่มทุน
การใช้กติกานี้ อาจถูกบิดเพื่อกีดกันผู้ที่กล้า “ตรวจสอบ” เอกชนรายใหญ่
หันไปพึ่งอนุกรรมการฯ กฎหมาย – วัดใจจะยึดหลักนิติธรรมหรือลู่ตามลม
เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งในที่ประชุม
บอร์ด กสทช. มีมติส่งเรื่องให้ “อนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย” พิจารณา
โดยคณะอนุกรรมการนี้ประกอบด้วยนักกฎหมายอาวุโสจากหลากหลายองค์กร ทั้งตุลาการ อัยการ และนักวิชาการ
อาทิ ศ.จรัญ ภักดีธนากุล, ศ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, ศ.สุรพล นิติไกรพจน์, ศ.พิเศษ เข็มชัย ชุติวงศ์ และอดีตผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุด
แม้ความเห็นของอนุกรรมการฯ จะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่จะกลายเป็น “น้ำหนักสำคัญ” ที่บอร์ดต้องชั่งใจ
หากตีความว่า “บริษัททรูในเครือไม่ใช่คู่กรณี” พิรงรองก็ย่อม ไม่มีเหตุจำเป็นต้องถอนตัว
เดิมพันมากกว่าคน – คือระบบกำกับดูแลในตลาดที่ผูกขาด
ในตลาดโทรคมนาคมที่มีผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย และการตัดสินใจของ กสทช. มีผลกระทบต่อผู้บริโภคนับสิบล้านคน หากกรรมการที่เคยเข้มงวดกับการกำกับดูแล ถูกบล็อกอย่างเป็นระบบโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแบบบิดเบี้ยว
จะเหลือใครกล้าจ้องตา “อำนาจทุน”?
เราจะยอมให้กติกาที่ควรคุ้มครองความเป็นธรรม กลายเป็นเครื่องมือบล็อกผู้ตรวจสอบได้หรือไม่?