“เศรษฐกิจไทยปีนี้จะรั้งท้ายอาเซียน แพ้แม้กระทั่งเมียนมาร์ รัฐบาลชุดนี้ไปต่อไม่ไหวแล้ว”
— รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
📍 สงครามภาษีทรัมป์ : เส้นตาย 9 ก.ค. ที่ยังไม่เห็นทางออก
ภายใต้เงื่อนไขสงครามการค้าและภาษีที่สหรัฐฯ โดยปธน.ทรัมป์ กำหนด อัตราภาษี 36% บีบส่งออกไทยให้เปราะบางลงทุกขณะ ซึ่งไทยมีคิวเจรจาในวันนี้ ( 3 ก.ค.) หลังใกล้ครบเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. แต่ความชัดเจนยังไม่ปรากฏ
“ผมประเมินไว้ 3 ฉากทัศน์—ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ อัตราภาษีอยู่ที่ 36% การส่งออกจะลดลง เหลือแค่ 6% จากเป้ารัฐบาลที่ตั้งไว้ 10% ถ้าภาษีลดลงเหลือ 15–25% เราอาจทำส่งออกได้ราว 7–7.5% เพราะครึ่งปีแรกเราตุนไว้แล้ว 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ครึ่งปีหลังยังลูกผีลูกคน”
แม้ภาษีเท่ากับประเทศอาเซียนอื่น เช่น 20% แต่ไทยยังเสียเปรียบเรื่อง ต้นทุนและศักยภาพการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสะสมของภาคส่งออกไทยมายาวนาน
⸻
📍 การเมืองไทย = ความไม่แน่นอนที่กระทบการเจรจา
“ปัญหาใหญ่ไม่ใช่แค่ภาษี แต่เป็นการเมืองในประเทศที่วุ่นวายที่สุดในอาเซียน”
อ.อัทธ์ ชี้ว่า ทีมเจรจาไทยเสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่มโต๊ะ เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้สหรัฐฯ ไม่เชื่อมั่นในคำมั่นของรัฐบาลไทย
“เขาอาจคิดว่าจะยุบสภาไหม ข้อตกลงจะเปลี่ยนหรือเปล่า ถ้าเขาไม่แน่ใจ เขาก็ไม่รับดีล เพราะในอาเซียน มีแต่ไทยที่การเมืองวุ่นวายที่สุด”
⸻
📍 เศรษฐกิจไทยปีนี้จะ “รั้งท้ายอาเซียน” ต่ำกว่าเมียนมา
“ภาษีทรัมป์เคยเป็นปัญหาอันดับหนึ่ง แต่หลังคลิปนายกฯ ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาการเมือง ที่กระทบระบบเศรษฐกิจ”
อ.อัทธ์ ประเมินว่าในปีนี้ ไทยอาจมี GDP โตแค่ 1–1.5% ต่ำสุดในอาเซียน แม้กระทั่งเมียนมาเองยังมีคาดการณ์ว่าโต 1.9%
“นักลงทุนไม่กล้าลงทุน คนไทยไม่กล้าจับจ่าย สถานการณ์ตอนนี้คือ ‘อึมครึมไปหมด รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความเชื่อมั่น คะแนนนิยมต่ำมาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่วัน”
⸻
📍 ทางออกเดียว: ยุบสภา = รีบูทความเชื่อมั่น
“ไม่มีทางออกอื่นนอกจากยุบสภา เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนอีกครั้ง”
เขาวิเคราะห์ว่า การยุบสภาจะช่วยลดแรงกดดัน แม้ต้องรออีก 4 เดือน แต่จะได้รัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
⸻
📍 ข้อเสนอไทยต่อสหรัฐฯ ยังไม่จูงใจมากพอ
ในการเจรจาครั้งนี้ ไทยเสนอ 5 ข้อ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1–3: เปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น ซื้อพลังงาน สินค้าเกษตร
4: สกัดการสวมสิทธิ์
5: เสนอให้ไทยลงทุนในพลังงานที่รัฐอลาสกา
“ฟังดูดี แต่ยังไม่มากพอจะจูงใจ เพราะประเทศอื่นเสนอได้ตรงใจสหรัฐฯ กว่า การลงทุนด้านพลังงาน มีอีกหลายประเทศเสนอ ทั้งซาอุฯ การ์ตา ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้… แล้วไทยจะแข่งยังไง? เพราะสหรัฐฯ ก็ต้องเลือกประเทศที่ได้ประโยชน์ทั้งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการเมือง”
⸻
📍 เวียดนาม: ตัวอย่างประเทศที่คิดไกลกว่า
อ.อัทธ์ยกตัวอย่างเวียดนาม ที่ดึงบริษัท Starlink มาลงทุน พร้อมเสนอเป็นศูนย์กลางพัฒนา AI ของสหรัฐฯ ในอาเซียน
“แทนที่สหรัฐฯ จะไปตั้งบริษัท AI ในจีน เวียดนามกำลังแย่งบทบาทนั้น”
⸻
📍 ข้อเสนอทางเลือก: ไทยต้องเสนอ ‘ดีลที่สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ได้’
“ถ้าเป็นผม ผมจะเสนอให้บริษัทไทยไปลงทุน ‘เกษตรแปรรูป’ ที่สหรัฐฯ”
โมเดลที่อ.ดร.อัทธ์เสนอคือ ไทยลงทุนโรงงานอาหารสุขภาพในอเมริกา โดยใช้วัตถุดิบจากไทย เช่น ผลไม้เมืองร้อน พืชสมุนไพร แล้วใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ ให้เป็นประโยชน์ ในการสกัดสารจากผลไม้และสินค้าเกษตร เพื่อผลิตอาหารเชิงสุขภาพ
“สหรัฐฯ จะได้เงินทุน ได้แหล่งอาหารสุขภาพในอนาคต ไทยได้ตลาดสินค้าเกษตรและนวัตกรรม ถ้าเราคิดแบบนี้ สหรัฐฯ จะปฏิเสธลำบาก เพราะได้ทั้งเงิน ได้ทั้งยุทธศาสตร์”
⸻
📍 สหรัฐฯ ต้องการมากกว่าแค่ตัวเลขดุลการค้า
ท้ายสุด ดร.อัทธ์เตือนว่า หากไทยยังไม่ปรับเกมให้เร็วพอ ดีลจะหลุดมือไปอีกครั้ง
“ประเทศที่จะได้ดีลจากสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่ให้ดุลการค้าเยอะ แต่ต้องเป็น ‘พันธมิตรทางยุทธศาสตร์’… ไทยต้องเสนออะไรที่เขา ‘อยากได้’ มากกว่าที่เรา ‘อยากให้’”
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เที่ยงเปรี้ยงปร้าง #รัฐบาลแพทองธาร #รั้งท้ายอาเซียน #รัฐบาลแพทองธาร2 #ภาษีสหรัฐฯ #เจรจาสหรัฐฯ #รีบูทความเชื่อมั่น #ความมั่นคง #ทางออกการเมืองไทย #อัทธ์พิศาลวานิช #ยุบสภา