วงการไหนก็มีโกง แต่ใครจะคิดล่าสุด “รากโกงที่ฝังรากลึกจะโผล่ขึ้นมาเป็น แครอท” ซะแล้ว!
ล่าสุดมีกรณี เจ้าคณะตำบลแห่งหนึ่ง จ้างพระรูปอื่นสอบเปรียญแทนตัวเอง เอ๊า! นี่ตกลงสอบบาลีเพื่อเข้าใจพระธรรมหรือสอบเพื่อเป็นบันไดสู่เกียรติยศ
พระบางรูปสอบเอาวิชา…พระบางรูปสอบเอายศ…และพระบางรูป…จ้างสอบแม่งเลยเพราะเอาธรรมมะมาศึกษาเองมันคงเหนื่อยเกินไป เดินทางลัดซะเลย
ถามจริง ถ้าสอบเปรียญเพื่อเข้าใจธรรมมะ ทำไมต้องโกง? หรือแท้จริงแ้ว “เปรียญ” ไม่ใช่เรื่องของ ”ธรรมมะ“ แต่เป็นเรื่องของ “ตำแหน่ง“ และ ”อำนาจ“
”เปรียญ“ ใบเบิกทางสู่ธรรมมะ หรือบันไดไต่ยศ?
จากปรากฏการณ์โกงคาผ้าเหลือง ทำให้สังคมได้หันกลับมาสนใจชั้นยศ ทำให้ได้รู้ว่า เปรียญธรรมอาจไม่ใช่แค่ความรู้ แต่มันคือ ”ยศศักดิ์“ ที่ใช้ไต่เต้าในวงการศาสนา
มีเปรียญ 3 ประโยค อนาคตสดใส มีสิทธิได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเล็ก ๆ…มีเปรียญ 5 ประโยค ขยับโชว์พาวได้มากขึ้น การยอมรับต้องมา ยศศักดิ์ต้องมี มีสิทธิได้เป็นเจ้าคณะมีระดับกว่าเป้นแค่เจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่ง…เปรียญ 9 ประโยค อันนี้พีคมาก เพราะถือว่าเทียบเท่าด็อกเตอร์ทางธรรม เบียดเข้าใกล้ตำแหน่งใหญ่ ๆ ในมหาเถรสมาคม เป็นผู้บริหารในวงการผ้าเหลือง
แบบนี้เองจึงทำให้ ”พระ“ จำนวนไม่น้อยไม่ได้มองว่า เป็นการสอบเพื่อการศึกษาธรรมให้ลึกซึ้ง แต่มันคือ ”บันไดสู่อำนาจ“ ประจานแก่นในที่ยังละทิ้ง ”กิเลส“ ไม่ได้
การจ้างสอบหรือการใช้เส้นสายในแวดวงพระสงฆ์ ก็ไม่ต่างจากระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ใช้เปรียญเป็นเครื่องมือสร้างเครดิตในทางธรรม…ใช้เปรียญเป็นใบเบิกทางสู่ตำแหน่งเจ้าอาวาส…และใช้เปรียญเป็นโอกาสเข้าถึงงบประมาณและการบริหารวัด ไปจนถึงการบริหารพระสงฆ์ทั่วประเทศ
แล้วแบบนี้ ธรรมมะอยู่ตรงไหน?
โกงสอบ ปารชิกหรือไม่?
พลิกตำราดูพบว่า ”ศีล“ ในพระพุทธศาสนามีหลายระดับ ศีล 5 สำหรับฆารวาส ศีล 10 สำหรับสามเณร และ ศีล 227 ข้อ สำหรับพระภิกษุ ถามว่าโกงสอบเปรียญของพระสงฆ์ ผิดศีลข้อไหน และผิดระดับใด?
ถ้าดูประสาคนเข้าวัดยังร้อน เห็นว่า การโกงสอบเปรียญอาจเข้าข่ายศีลข้อที่ 4 “มุสาวาทา เวรมณี” (การพูดเท็จ,หลอกลวง) เพราะการโกงด้วยการให้คนอื่นสอบแทนตัวเอง ถือเป็น ”การแสดงตนเป็นเท็จ“ พระรูปนั้นไม่ได้มีความรู้จริง แต่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่า ”อาตมาสอบผ่านเปรียญนี้“ นี่คือการโกหกใช่มั้ย?
“โกงสอบเปรียญ” ไม่ใช่แค่ผิดศีล แต่ทำลายความศรัทธา
แม้ว่าจะไม่ปาราชิกที่ต้องสึกทันที แต่ “พระที่โกงสอบ“ เท่ากับกำลังสร้างรากฐานศาสนาด้วยการโกหก โกงเพื่อได้เปรียญ ไต่เต้าสู่ตำแหน่ง สุดท้ายได้อำนาจโดยมิชอบ แหม! มันคุ้น ๆ
ถ้าพระโกงสอบได้เป็นเจ้าอาวาส จะไปเทศน์เพื่องความซื่อสัตย์ยังไง?
ถ้าศาสนาเต็มไปด้วยพระที่ ”ซื้อ“ ตำแหน่ง แล้วพุทธศาสนิกชนยังเหลืออะไรให้ศรัทธา หรือต้องหันไปกราบไหว้ ”ออพติมัส ไพรม์“ แทน?
ถ้าวงการผ้าเหลืองยังมีการโกง แล้วจะต่างอะไรจากวงการนักการเมืองที่เราด่ากันทุกวัน
พระบางรูปเรียนบาลีเพื่อเข้าใจธรรมมะ
แต่พระบางรูปเรียนบาลีเพื่อ ”เข้าถึงการบริหาร“
แล้วที่น่ากลัวคือ…ไม่ใช่พระทุกองค์ที่โกงสอบ แต่พระที่โกงสอบมีโอกาสได้ตำแหน่งใหญ่กว่าเสมอใช่หรือไม่ จึงเย้ายวนให้ทำผิดแบบสิ้นคิด
จาก ”เปรียญธรรม“ สู่ ”เปรียญเทา“ ทำไมต้องอยากได้ อยากมี ถ้าไม่ใช่เพราะอาจมีผลประโยชน์มหาศาลซ่อนอยู่!
เป็นพระต้องศึกษาเพื่อบรรลุธรรม ไม่ใช่ศึกษาเพื่อ ”บรรลุอำนาจ!” วันนี้มันอาจเป็นแค่เรื่อง ”จ้างสอบ“ แต่ถ้าเราไม่หยุดมัน สักวันอาจได้เห็น ”วางการเปรียญเถื่อน“ เกลื่อนกลาด ไม่ต่างจาก ”วงการปริญญาปลอม“ หรือแท้จริงแล้วมันคงอยู่มานานแล้ว เพียงแต่เพิ่งถูกเปิดโปงเท่านั้น
แต่อย่าเพิ่งไปเหมารวมว่า แบบนี้ศาสนาจะเหลืออะไร? เพราะศาสนาไม่เกี่ยว ที่เลวจนทำให้พุทธศาสนามัวหมอง คือมนุษย์ที่ละกิเลสไม่ได้ต่างหาก เพราะ “ไม่ใช่พระทุกรูปจะเป็นแบบนี้” และยังมี ”พระอีกมาที่ศึกษาเพื่อบรรลุธรรม ไม่ใช่เพื่อบรรลุอำนาจ“…พระเหล่านั้นยังควรคู่ให้เรากราบไหว้และศรัทธา
แต่ในโลกที่ทุกอย่างถูกซื้อได้แม้กระทั่งวงการสงฆ์…ยังเหลือพระให้เรากราบไว้ได้อีกกี่รูป!