จากเหตุปะทะช่องบก สู่การเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐกัมพูชาอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับทหาร การทูต และล่าสุดในระดับรัฐสภา ขณะที่ไทยยังไร้ท่าทีชัดเจนในระดับรัฐบาล
ภายหลังเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม บริเวณชายแดนช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งทำให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตอย่างน้อย 1 นาย ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาไม่หยุดอยู่แค่การประณามผ่านผู้นำหรือกระทรวงการต่างประเทศ แต่เดินเครื่องเต็มสูบยกระดับข้อพิพาทสู่ศาลโลก
——
จากทหาร–การทูต สู่รัฐสภา: กัมพูชาเดินเกมครบ
• 29 พ.ค. กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ส่งหนังสือประท้วงไทยอย่างเป็นทางการ-เสริมกำลังเต็มพิกัดเข้าบริเวณชายแดน
• 2 มิ.ย. นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ประกาศเดินหน้าเตรียมส่งข้อพิพาทเข้าสู่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
• และล่าสุด… รัฐสภากัมพูชามีมติเอกฉันท์ ให้รัฐบาลนำข้อพิพาทสู่ศาลโลก
พื้นที่ข้อพิพาท 4 จุดสำคัญ ที่นายกฯ กัมพุชา ระบุถึง ได้แก่
• ปราสาทตาเมือนธม
• ปราสาทตาเมือนโต๊ด
• ปราสาทตากระเบย
• พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก)
นี่คือการ “ลากไทยเข้าสู่ศาลโลก” อย่างเป็นทางการโดยใช้อำนาจตามระบบรัฐสภา เป็นขั้นตอนที่มากกว่าคำประกาศทางการเมืองทั่วไป และแสดงถึง “เอกภาพ” ระหว่างฝ่ายบริหาร–นิติบัญญัติ-การทหาร ของกัมพูชา
⸻
ฝ่ายไทย: ทหารขยับ…แต่ฝ่ายการเมืองยังเงียบ
จนถึงขณะนี้ ฝ่ายนโยบายของไทยยังไม่มีการแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการ
• นายกรัฐมนตรี, รมว.กลาโหม, รมว.ต่างประเทศ ไม่มีการแถลงใดเกี่ยวกับมติรัฐสภากัมพูชา หรือแนวทางรับมือในเวที ICJ
• กระทรวงการต่างประเทศ แม้มีคำชี้แจงแต่ก็ยังเบาหวิว จับจุดเชิงรุกใด ๆ ไม่ได้ นอกจากท่าทีประนีประนอม ยึดกลไก JBC
• มีเพียง โฆษกกองทัพบก ที่ออกมาแตะเบรกกัมพูชาประโคมปมลากไทยไปศาลโลก
“ด้วยมีกติกาข้อตกลงที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุที่เส้นแบ่งเขตแดนในแผนที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายอ้างอิงใช้เป็นคนละฉบับ ทำให้เส้นเขตแดนไม่ได้ทับเป็นเส้นเดียวกัน จึงทำให้เกิดแก๊ป (Gap) เป็นพื้นที่ทับซ้อนกัน อย่างกรณีพื้นที่จุดปะทะ ที่เห็นชัดมีการวางกำลัง และมีการขุดคูเลต ก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนนี้ ซึ่งที่ผ่านมามีกติกาข้อตกลงที่สามารถใช้ร่วมกันมาได้ตลอด เช่น การไม่ดัดแปลงสภาพภูมิประเทศ ต้องไม่มีการวางกำลังทางทหาร ในลักษณะเอาปืนวางหันหน้าใส่ไทย เราจึงต้องมาร่วมกันรักษากติกาข้อตกลงที่ให้ไว้ต่อกันให้ได้ ก่อนที่จะไปใช้กลไกอื่นๆ”— พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก
——
แฉฮุนเซนโพสต์ภาพเก่ามั่วพื้นที่พิพาท
ประเด็นน่าสนใจจากโฆษก ทบ.อีกปมคือ กรณีที่สมเด็จฮุนเซนโพสต์ภาพและข้อความอ้างสิทธิ์พื้นที่สนามเหลี่ยมมรกตว่า น่าจะเป็นพื้นที่ใกล้ศาลาตรีมุข และไม่ใช่พื้นที่จุดที่เกิดเหตุการปะทะกัน ซึ่งตรงจุดปะทะนั้นจะมีสภาพพื้นที่เป็นป่า ไม่เคยพบว่ามี ชาวบ้าน หรือทหารกัมพูชามาประจำอยู่ จากหลักฐานภาพถ่าย ชัดเจนว่าเหมือนเพิ่งมาขุดคูเลตเพื่อใช้ทำกิจกรรมทางทหารกันไม่นานมานี้ ไม่ใช่ขุดอยู่กันมาเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว
——
แล้วรัฐบาลไทยทำอะไรอยู่?
หรือระดับผู้นำยังหลงใหลได้ปลื้มกับสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สนิทแนบระหว่างสองตระกูล
จนลืมไปว่า “ดินแดน” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
⸻
ทำไมการนิ่งเฉยของรัฐบาลไทยจึงน่ากังวล?
1. เมื่อคู่เจรจาวางแผนไปถึงศาลโลกแล้ว — การไม่ตอบสนองคือการปล่อยให้เรื่องเลยไปโดยไม่มีกรอบไทย
2. ไม่ปรากฏว่ามีการประชุม สมช. หรือแถลงจุดยืนของรัฐอย่างเป็นทางการ
3. เมื่อไม่มี “เสียงรัฐบาล” ทั้งในเวทีภายในและระหว่างประเทศ ทหารจึงกลายเป็นกลุ่มเดียวที่ตอบโต้อยู่ลำพัง
4. ภาพที่ปรากฏต่อชาวโลก จึงกลายเป็นว่ากัมพูชายึดครองการเล่าเรื่องในมุมของตัวเองทั้งหมด
⸻
อธิปไตยไม่ใช่เรื่องของทหารฝ่ายเดียว
ในภาวะที่กัมพูชาใช้เครื่องมือรัฐครบทุกด้าน — ผู้นำประเทศ, รัฐสภา, การทูต, ทหาร, สื่อ
แต่รัฐบาลไทยเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “ไทยพร้อมเข้าสู่ศาลโลกหรือไม่?”
แต่คือ “รัฐบาลไทยมีจุดยืนอะไรต่อแผ่นดินที่ถูกท้าทาย?”
ถ้ายังนิ่งนอนใจในเรื่องนี้
ถ้ายังไม่มีท่าทีอย่างเป็นรูปธรรม
แล้วเราจะมีรัฐบาลไว้ทำไม?
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #กองทัพบก #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารไทย #รักษาชายแดน #กระทรวงต่างประเทศ #สมช #รัฐบาลแพทองธาร #แพทองธาร #ช่องบก #ศาลโลก #ความมั่นคง