หลังเกิดเหตุอาคาร สตง. มูลค่า 2,136 ล้านบาทพังถล่ม
ชื่อของ “ไชน่า เรลเวย์” กลับมาอยู่กลางกระแสอีกครั้ง
เพราะบริษัทนี้ไม่ได้มีแค่โครงการเดียว
แต่กวาดถึง 24 โครงการรัฐ
ผ่าน “กิจการร่วมค้า” หลากหลายชื่อ
รวมมูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท
นี่คือบริษัทที่เดินเกมแบบเงียบแต่ลึก
ผ่านใบเสนอราคาต่ำสุดในระบบ e-bidding
ที่ทิ้งร่องรอยไว้ทั่วประเทศ
⸻
กิจการร่วมค้า ที่หลากหน้ากว่าที่คิด
ในการก่อสร้างอาคาร สตง.
ชื่อของ ITD–CREC (อิตาเลียนไทย + China Railway No.10) ถูกใช้เป็นกิจการร่วมค้า
แต่ในโครงการอื่น ๆ
ชื่อกิจการร่วมค้าเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
• AKC Construction
• AGC10 Construction
• WGCI10 Construction
• ฯลฯ
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ทุนหลัก” กลุ่มเดิม
และจุดร่วมที่น่าสงสัยกว่าคือ
หลายโครงการเกิดปัญหา: ทิ้งงาน ล่าช้า หรือคุณภาพต่ำ
DSI พบมีการใช้คนไทยถือหุ้นอำพราง (นอมินี)
อ้างตัวเป็นบริษัทไทย เพื่อเข้าร่วมประมูลกับรัฐ
⸻
ตึกถล่มไม่พอ…โยงภาษีปลอมด้วย
กรมสรรพากรแจ้งความต่อ DSI
ดำเนินคดีอาญากับ บริษัท ซิน เคอหยวน จำกัด
ผู้ผลิตเหล็กเส้นที่เคยใช้ในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง.
ข้อหา:
• ใช้ใบกำกับภาษีปลอมกว่า 7,000 ฉบับ
• มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
คดีนี้ไม่ได้เกิดจากการไล่ตรวจบัญชีภาษีตามปกติ
แต่เป็นผล “ต่อยอด” จากการถล่มของอาคาร สตง.
ซึ่งอาจเป็นเพียงประตูบานแรก สู่การเปิดโปงเครือข่ายการใช้ใบกำกับภาษีปลอมในวงกว้าง
⸻
ราคาต่ำสุด…แต่คุณภาพต่ำสุด?
เมื่อระบบจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ
วัดความคุ้มค่าด้วยแค่ “ราคาต่ำสุด”
จึงไม่แปลกที่ทุนใหญ่จากจีน หรือทุนท้องถิ่นที่จับมือกับต่างชาติ
จะปรากฏชื่อบนงานรัฐแทบทุกโครงการ
เพราะพวกเขาเสนอราคาถูก
แต่กลับมีอำนาจต่อรองสูง
ได้งานก้อนโต
แต่ฝากปัญหาไว้ให้รัฐ
และให้ประชาชนจ่ายภาษีซ่อมซากตามหลัง
⸻
อาคารที่ถล่ม…ไม่ใช่แค่โครงสร้าง
มันคือความสัมพันธ์ลับระหว่างทุนใหญ่กับรัฐใช่หรือไม่?
คือคำถามค้างคาในระบบ e-bidding ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
คือสัญญาเชิงอำนาจที่ซ่อนอยู่ใต้ใบเสนอราคาถูก ๆ หรือเปล่า?
คือการฟ้องถึงการทุจริตที่ซ่อนอยู่ใช่มั้ย?