“กัมพูชารู้ข้อมูลทหารวงในของเราลึกมาก แต่เราแทบไม่รู้ข้อมูลของเขา… เอกภาพภายในประเทศมีความสำคัญต่อการสู้ศึกครั้งนี้”
—รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
⸻
“JBC ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป”
14 มิถุนายนนี้ กัมพูชาจะจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) โดยปฏิเสธที่จะหารือเรื่องพื้นที่พิพาทหลัก ทั้งปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนควาย ตาเมือนโต๊ด และช่องบก ซึ่งรศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร มองว่า การประชุมครั้งนี้อาจกลายเป็นเพียงพิธีกรรมทางการทูต เพราะไม่สามารถแก้ข้อพิพาทได้จริง
เขาย้อนความพยายาม 30 ปีของกลไก JBC, GBC, RBC ที่ล้มเหลวในการปักหลักเขตแดนอย่างเป็นรูปธรรม แถมยังเกิดเหตุปะทะนองซ้ำซาก กัมพูชาละเมิด MOU 43 ข้อที่ 5 เกือบสี่ร้อยครั้ง ทำให้เขาสูญเสียความได้เปรียบในเวทีเจรจาจึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้กลไกนี่
“JBC ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาทางทหารแบบนี้… และกัมพูชาก็รู้ล่วงหน้าว่าไทยจะพูดเรื่องไหน จึงปฏิเสธตั้งแต่แรก”
⸻
“ไม่สงคราม ก็ศาลโลก” สัญญาณชัดจากฝั่งตรงข้าม
อาจารย์ปณิธานชี้ว่า กัมพูชาส่งสัญญาณผ่านสมเด็จฮุน เซน มาชัดเจนว่า ข้อพิพาทครั้งนี้มีแค่สองทางคือ “ไม่สงคราม ก็ศาลโลก” แต่ศาลโลกเองก็ไม่มีอำนาจชี้เฉพาะว่า “ที่ไหนเป็นของใคร” เพราะเคยตัดสินไว้แล้วว่า ต้องกลับไปทำหลักเขตร่วมกัน
เขาแนะนำว่าไทยควรใช้โอกาสนี้ตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลกัมพูชาอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้ปฏิเสธเวทีทวิภาคี จะไปศาลโลกทั้ง ๆ ที่ศาลโลกเคยชี้แล้วว่าให้มาตกลงกันเอง เพื่อที่จะได้ไม่เดินเข้าสู่กับดักที่อีกฝ่ายวางไว้
“เราต้องย้อนศรกัมพูชา ไม่ใช้กำลัง ไม่เปิดช่องให้เขาสร้างเงื่อนไขลากเราเข้าสู่ศาลโลกหรือเวทีสากลอื่น”
⸻
ถึงเวลาคิดนอกกรอบ: เวทีใหม่–ไม้แข็ง–การทูตเชิงรุก
อาจารย์ปณิธานเสนอแนวทางใหม่ ๆ เช่น ตั้ง Special HLC (กลไกระดับสูงสุดแบบไม่เป็นทางการ), ปรับ MOU 43, หรือแม้แต่เสนอเขตพัฒนาร่วมด้านพลังงานที่โปร่งใส โดยเน้นว่าไทยต้องใช้ทั้ง “ขนมหวาน” และ “ไม้เรียว” อย่างมียุทธศาสตร์
หนึ่งในเครื่องมือที่เสนอคือ “จุดผ่อนปรนชั่วคราว” ซึ่งสามารถใช้เป็นคันโยกทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง แต่ต้องมีมาตรการเยียวยารองรับผลกระทบให้ประชาชนอย่างรอบด้าน และเชื่อว่าถ้าเดินหมากนี้กัมพูชาสะเทือนแน่อน
⸻
“เขารู้วงในทหารเรา แต่เรารู้แทบไม่มี”
ที่น่ากังวลที่สุดคือ ช่องโหว่ด้านความมั่นคงภายใน ที่เปิดให้กัมพูชาเข้าถึงข้อมูลวงในของกองทัพไทยได้ลึก
“เขารู้เลยว่าทหารกลุ่มไหนคิดยังไง อยู่ฝ่ายไหน เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับใคร นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อปูทางสถาปนาอาณาจักรใหม่ให้กับผู้นำรุ่นลูก”
ในทางกลับกัน ไทยกลับมี “เอกภาพในเชิงนโยบาย” ต่ำ ทั้งในเชิงการเมือง-การทูต-ความมั่นคง กองทัพบกต้องคอยตามแถลงแก้แถลงการณ์รัฐบาล ทำให้การสื่อสารดูอ่อนด้อย และเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามตีความได้ตามอัธยาศัย หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทุกการเคลื่อนไหวทั้งการเมืองและการทหารต้องเป็นเอกภาพ กำหนดทิศทางให้ชัด เพื่อเปลี่ยนจากเพลี่ยงพล้ำมาเป็นต่อ
⸻
“อย่าแพ้เหลี่ยมของคนไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง”
อาจารย์ปณิธานย้ำว่า ไทยต้องใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้เกิดผลจริง ทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต และพลังงานในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันแบบโปร่งใส ไม่ให้ใครตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยต้องทำความเข้าใจกับประชาชนภายในประเทศด้วย พร้อมกับย้ำว่า การเปลี่ยนทีม–เปลี่ยนแนว–เปลี่ยนวิธีคิด คือสิ่งจำเป็น
“อย่านุ่มนิ่มยวบยาบในยามบ้านเมืองล่อแหลม ต้องทั้งรักสันติ เข้มแข็ง และชัดเจน ไม่อย่างนั้นเราจะเสียเปรียบในทุกมิติ ไม่ใช่แค่กับกัมพูชา สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ทั้งสงครามในโลกไซเบอร์ การทูต การทหาร การเมืองระหว่างประเทศที่กัมพูชาทะยานขึ้นมา แม้เรามีศักยภาพแต่ไม่อาจประเมินกัมพูชาต่ำ เพราะเขาไม่เหมือนปี 54 ที่รบกับเราแล้วสูญเสียทหารไปนับร้อย ส่วนเราสูญเสียหลักสิบ ทางที่ดีที่สุดจึงต้องกดดันในทุกทาง เพื่อไม่ให้ต้องเข้าสู่สนามรบที่จะมีแต่ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย”
#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #เที่ยงเปรี้ยงปร้าง #รัฐบาลแพทองธาร #รัฐบาล #ครม #ชายแดน #ทหารไทย #ไทยกัมพูชา #รัฐบาล #JBC #ICJ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ละเมิดอธิปไตย #กองทัพไทย

