นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมายและอดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงกรณีที่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปอินโดนีเซีย ว่า ศาลฯ ใช้ดุลพินิจตามกรอบของคดี มาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีร้ายแรง และศาลมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะมีเหตุผลจำเป็นที่เพียงพอ
“ไม่ใช่จะขอออกพร่ำเพรื่อ เสมือนไม่มีข้อกำหนดของศาลฯ อย่างนั้นไม่ได้!” นิพิฏฐ์กล่าว พร้อมเสริมว่า หากเป็นกรณีเจ็บป่วยที่ต้องรักษาในต่างประเทศ หรือมีเหตุจำเป็นทางครอบครัวหรือหน้าที่ ก็สามารถพิจารณาอนุญาตได้ แต่การขอเดินทางในลักษณะถี่เกินไป อาจทำให้ศาลฯ พิจารณาว่าคำขอไม่มีน้ำหนักพอ
“เราเห็นกันอยู่แล้วว่าทักษิณใช้แท็กติกชิมลาง ขอไปมาเลเซีย ไปได้ ก็ตามด้วยบรูไน จากนั้นขอไปอินโดนีเซีย ศาลฯ ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ถ้าขอพร่ำเพรื่อ ศาลฯ ก็หมดความศักดิ์สิทธิ์สิ! และถ้าศาลฯ ให้พร่ำเพรื่อ ทักษิณอาจใช้ช่วงเวลาก่อนตัดสินคดี 112 ขอไปต่างประเทศอีก ถ้าถึงเวลานั้นคดีไม่รอด ก็หนีอีก!”
ศาลฯ ใช้ดุลพินิจพิจารณาอะไร? – ทักษิณเคยหนีมาแล้ว ต้องระวังซ้ำรอย!
นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ศาลฯ ย่อมต้องคำนึงถึงประวัติการหนีคดีของ ทักษิณ เพราะที่ผ่านมาเคยออกนอกประเทศ แล้วไม่กลับมาฟังคำพิพากษาจนหมดอายุความไปแล้วในคดีที่ดินรัชดา
“ศาลฯ น่าจะรู้ทัน เพราะเห็นได้ว่าทักษิณใช้แท็กติกชิมลางมาตลอด และศาลฯ เองก็ดูเหตุผลของคำขอประกอบ ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ ก็ปล่อยผ่าน”
จากข้อมูลการขออนุญาตออกนอกประเทศ 4 ครั้งในช่วงปี 2567-2568 ศาลฯ อนุญาต 2 ครั้ง (มาเลเซีย – บรูไน) แต่ปฏิเสธ 2 ครั้ง (ดูไบ – อินโดนีเซีย) นิพิฏฐ์มองว่า “ศาลฯ กำลังส่งสัญญาณว่าการขอพร่ำเพรื่ออาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ตำแหน่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนของทักษิณ ดูเหมือนจะเป็น ‘ยันต์พาออกนอกประเทศ’ แต่พอคดีกระชั้นเข้ามา ยันต์นี้ก็ดูเหมือนจะเริ่มไม่ได้ผล”
คดี 112 คืบหน้าถึงไหน? – นิพิฏฐ์มั่นใจ “ทักษิณ” ไม่รอด
เมื่อถูกถามว่า คดีมาตรา 112 ของ ทักษิณ กำลังอยู่ในช่วงใดของกระบวนการพิจารณา นิพิฏฐ์กล่าวว่า “คดีนี้น่าจะมีคำตัดสินได้ภายในปีนี้ เร็วสุดอาจเป็นช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน”
นิพิฏฐ์ กล่าวเสริมว่า “คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ทักษิณหนีไปต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้แจ้งความ อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง และออกหมายจับไว้แล้ว ผมมั่นใจว่าทักษิณไม่รอดในคดี 112”
นิพิฏฐ์ ยังกล่าวถึงการที่ ขิง เอกณัฐ พร้อมพันธุ์ (รมว.อุตสาหกรรม) และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (รมช.กลาโหม) ซึ่งเคยเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ กลับกลายมาเป็นพยานให้ในคดีนี้ ว่า “เป็นเรื่องแปลก แต่อัยการเองก็มีพยานหลักฐานที่หนักแน่น ผมอาจคิดผิดก็ได้นะ! แต่มีอัยการสูงสุดสองคนตัดสินใจฟ้องแล้ว และพยานหลักฐานก็ชัดเจนมาก”
“ถ้าคดีไม่รอด – ทักษิณหนีแน่!”
นิพิฏฐ์ กล่าวว่า หากทักษิณประเมินแล้วว่าไม่มีทางชนะคดี 112 ก็อาจเลือก “หนี” แทนการรับโทษ “ถ้าทักษิณเห็นว่าคดีไปไม่รอด คราวนี้อาจไปลับไม่กลับมาอีกเลย” เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา หากวันอ่านคำพิพากษา จำเลยไม่มาศาลฯ ศาลฯ สามารถออกหมายจับได้ก่อน 1 เดือน จากนั้นจะอ่านคำพิพากษาลับหลังได้ “ถ้าผลออกมาว่าไม่ติดคุก ทักษิณก็บินกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนนักการเมืองบางคนในอดีตที่เคยใช้ช่องว่างนี้”
คดีฮั้ว ส.ว. – วัดบารมี “ทักษิณ” ได้หรือไม่?
นอกจากคดี 112 แล้ว นิพิฏฐ์ยังกล่าวถึงคดี ฮั้ว ส.ว. ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ไม่สามารถผลักดันให้เป็นคดีอั้งยี่ – ซ่องโจร แต่รับไว้ในฐานะคดี “ฟอกเงิน” ได้ “นี่คือเกมต่อรอง! สุดท้ายก็ต้องแชร์อำนาจกันระหว่างสองขั้ว แดง – น้ำเงิน เสมอกัน! คนที่คิดว่าแดงชนะ เพราะ DSI รับคดีไว้ ก็คิดผิด ส่วนคนที่คิดว่าน้ำเงินชนะ เพราะคดียังอยู่ในมือ กกต. ก็คิดผิดเช่นกัน การที่ DSI ทำคดีฟอกเงินก็เท่ากับทำให้ฝ่ายแดงยังมีอำนาจต่อรองในมือ เพราะยังมีชนักติดหลังอยู่”
นิพิฏฐ์ มองว่า คดีฮั้ว ส.ว. อาจยังไม่สามารถขยายไปถึงขั้นทำให้การเลือก ส.ว. เป็นโมฆะได้ แต่สามารถ “กดดัน กกต. ให้นั่งไม่ติด” ได้ “ถ้า DSI มีหลักฐานว่าเงินซื้อเสียงมาจากไหน กกต. ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะ DSI มีเครื่องมือและความเชี่ยวชาญมากกว่า! ซึ่งหาก DSI ทำจริงก็อาจสาวไปถึงการเมืองระดับชาติได้ แต่อาจไม่ถึงเบอร์ใหญ่เพราะคนเหล่านี้มีความระมัดระวัง แต่ถ้าไปเจอความเกี่ยวข้องกับคนระดับผู้บริหารพรรค ก็ลามไปสู่การยุบพรรคได้เช่นเดียวกัน กลัวแต่ว่าจะมีการฮั้วรอบสองแบบนี้จบเลย”
“การเมืองไทยวันนี้ – ไม่มีอะไรเกี่ยวกับประชาชนเลย!”
นิพิฏฐ์ กล่าวว่า คดีฮั้ว ส.ว. และเรื่องอื้อฉาวอื่น ๆ เช่น “คลิปหลุดต่อรองคดีบิ๊กโจ๊ก” ล้วนเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น “ตอนนี้มันไม่ใช่การเมืองเพื่อประชาชนแล้ว มันคือการเมืองเพื่ออำนาจของคนไม่กี่กลุ่ม! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮั้วสว. หรือคลิปหลุดที่พรรคประชาชนยื่นสอบจริยธรรมเฉพาะ ประธาน ป.ป.ช. แต่กลับไม่ยื่นประธานรัฐสภา ทั้งที่ปรากฏในคลิปทั้งคู่ สะท้อนว่าต้องการเอาคืนหรือดิสเครดิต ป.ป.ช.ที่อยู่ระหว่างการสอบสวน 44 สส.ของพรรคในคดีร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตอนนี้ประชาชนก็เป็นเครื่องมือของนักการเมือง อยู่ล่างสุด ถ้าประชาชนตื่นรู้ไม่รับเงินซื้อเสียง ถึงวันนั้น “ยุบ กกต.” ได้เลยเพราะทุกวันนี้จับซื้อเสียงไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ซื้อกันเห็น ๆ!”
นิพิฏฐ์ ทิ้งท้ายว่า “ถ้าประชาชนยังไม่ตื่นรู้ ก็ต้องอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าบ้านเมืองจะไปไม่ไหว!”