จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 2 ปี “พิรงรอง รามสูต” กรรมการ กสทช. กรณี เร่งรัดให้สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือแจ้งเตือนผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม True ID โดยไม่มีมติจากที่ประชุม ศาลชี้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมพบหลักฐานการแก้บันทึกประชุม ทำเอกสารเท็จ และตีความคำว่า “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง True ขณะเดียวกันยังสะท้อนปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่มีใครเอื้อมมือเข้าไปควบคุมการให้บริการเนื้อหาภาพพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ OTT หรือ Over-the-top ได้เลย
คำตัดสินนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า “หาก กสทช. ไม่มีอำนาจกำกับดูแลแพลตฟอร์ม OTT แล้วใครจะคุ้มครองผู้บริโภค?” ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ใช้กำกับดูแลทุนใหญ่และแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่สังคมต้องช่วยกันถอดบทเรียน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ “พิรงรอง” แต่เป็นประเด็นสาธารณะในมุมมอง “การคุ้มครองผู้บริโภค” ด้วย
มาสรุปประเด็นสำคัญของคำพิพากษากันหน่อยว่า ศาลฯ ชี้ว่าอย่างไร
1 ศาลฯ ชี้ว่า “พิรงรอง” ใช้อำนาจโดยมิชอบ ตั้งแจ้งเตือน True ID ผ่านผู้ให้บริการทีวีดิจิทัล โดยไม่มีมติจาก กสทช.
- ออกหนังสือแจ้งเตือน True ID ให้ผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลตรวจสอบการเผยแพร่ช่องรายการของตนผ่านแพลตฟอร์ม True ID
- ถ้อยคำในที่ประชุมว่า “ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์” และ “ใช้วิธีตลบหลัง” ถูกใช้เป็นหลักฐานสำคัญของเจตนาในการพุ่งเป้าไปที่ True ID
- ศาลชี้ว่า การแจ้งเตือนดังกล่าวทำให้ True ID ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งที่ กฎหมายยังไม่กำหนดให้แพลตฟอร์ม OTT ต้องขอใบอนุญาตจาก กสทช.
2 แก้ไขบันทึกประชุม – ทำเอกสารเท็จ
ศาลพบว่ามีการแก้ไขบันทึกประชุม เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีมติให้แจ้งเตือน True ID ทั้งที่ไม่มีมติดังกล่าว ดังนี้
ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2556 (16 ก.พ.2566)
- มีการหารือเรื่อง True ID ไร้ข้อสรุปว่าต้องมีการขอใบอนุญาตหรือไม่
- ไม่มีมติให้แจ้งเตือน True ID
ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2556 (2 มีนาคม 2566)
- มีการระบุหนังสือแจ้งเตือนออกไปโดยไม่มีมติจากที่ประชุม
- “พิรงรอง” แสดงความไม่พอใจที่หนังสือแจ้งเตือนไม่ได้ระบุชื่อ True ID
- มีการแก้ไขรายงานการประชุมให้ดูเหมือนว่ามีมติให้แจ้งเตือน True ID ทั้งที่ไม่มีมติดังกล่าว
ศาลฯ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเอกสารการประชุมเป็นการทำเอกสารเท็จ, การแจ้งเตือน True ID โดยไม่มีมติจากที่ประชุม เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ,การใช้ถ้อยคำว่า “ตลบหลัง-ล้มยักษ์” คือเจตนาพุ่งเป้ากลั่นแกล้ง True มีความผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ลงโทษ 2 ปี ได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 120,000 บาท และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ไม่มีกฎหมายจัดการ “ทุน” แล้ว “ใครคุ้มครองผู้บริโภค?”
แม้ศาลจะตัดสินให้ “พิรงรอง” มีความผิดในคดีนี้ แต่คำตัดสินกลับสะท้อนช่องโหว่สำคัญในระบบกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทย ศาลระบุว่า True ID และแพลตฟอร์ม OTT ไม่ต้องขอใบอนุญาตจาก กสทช. เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยังไม่มีบทบัญญัติชัดเจนเกี่ยวกับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มประเภทนี้
แล้วใครจะดูแลไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค ?
หากไม่มีการกำกับดูแลแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถใช้อำนาจเหนือผู้บริโภคได้หรือไม่ ?
การที่ศาลฯ ตัดสินว่า True ID ไม่ต้องขอใบอนุญาต อาจนำไปสู่คำถามว่า ถ้าแพลตฟอร์มดิจิทัลทำให้เกิดปัญหาต่อผู้บริโภค จะมีหน่วยงานใดรับผิดชอบ ผู้บริโภคอาจไม่มีช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดปัญหาค่าบริการไม่โปร่งใส โฆษณาแทรกโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือแม้แต่ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
กฎหมายตามไม่ทันทุนใหญ่ หรือคนคุมเกมเอื้อประโยชน์ “ทุน” ? เป็นอีกหนึ่งคำถามตัวโต ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม จากบทสะท้อนของคดีนี้ บทบาทที่หลายคนคาดหวังจาก กสทช. คือ การประกาศให้ชัดจะอุดช่องโหว่เหล่านี้อย่างไร แต่สิ่งที่ได้เห็นคือ ความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะจัดการกับ “พิรงรอง” ดังจะเห็นได้จากคำสัมภาษณ์ของ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ที่ระบุว่า จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาศาลฯ และจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมหรือไม่
สู้เพื่อผู้บริโภค ติดคุก ต่อไปใครจะกล้าสู้
ยืนหยัดสู้กับทุน ถูกตุนด้วยคดี แล้วใครจะกล้ายืนหยัด
แน่นอนว่าจากคำพิพากษาของศาลฯ ก็มีเรื่องที่ผู้ปฏิบัติต้องตระหนัก “เจตนาดีเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย”
ขณะเดียวกัน กสทช. ที่ลอยตัวไม่เคยสู้เพื่อผู้บริโภค ทั้งที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ และคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคม… แต่ไม่ทำ
พวกท่านต้องกลับมาถามตัวเองเหมือนกันว่า แล้วเราจะมีพวกท่านเป็น กสทช. ทำไม?