ปัญหาการทุจริตเป็นวิกฤตที่กระทบต่อการพัฒนาของทุกประเทศ แต่แนวทางการรับมือกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยจะเห็นได้ว่า จีน ใช้มาตรการที่เข้มข้น ไล่ล่าและลงโทษผู้กระทำผิดแบบไม่ปรานี ขณะที่ ไทย แม้จะมีหน่วยงานต่อต้านการทุจริต แต่กลับเผชิญกับอุปสรรคด้านโครงสร้างและความไม่จริงจังของกลไกภาครัฐ คนระดับวีวีไอพีที่คดโกงยังลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย
The Publisher จะพาไปสำรวจว่า จีนเดินหน้ากวาดล้างคอร์รัปชันอย่างไร ขณะที่ไทยยังติดหล่มปัญหาอะไรบ้าง โดยในส่วนกลยุทธการปราบปรามของจีนอ้างอิงข้อมูลจากรายงานการประชุม APEC Anti-Corruption and Transparency Experts’ Working Group ครั้งที่ 38 ที่จัดขึ้น ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
“จีน: ไล่ล่าจับจริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพ”
ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รัฐบาลจีนได้เปิดฉากสงครามกับการทุจริตอย่างจริงจัง มีการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงไปจนถึงนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการติดสินบน โดยอาวุธหลักของจีน คือ “Sky Net Operation” – ปฏิบัติการไล่ล่าผู้กระทำผิดข้ามพรมแดนดำเนินการอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2015 “Zero Tolerance Policy” – นโยบาย “ไม่ยอมให้โกง” ใครผิดก็ต้องถูกลงโทษ “Asset Recovery Program” – การยึดและนำทรัพย์สินจากการทุจริตกลับคืนสู่รัฐ และ “Belt and Road Integrity Initiative” – ควบคุมการติดสินบนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ การปราบปรามทุจริตอย่างเข้มงวดมีคณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัย (CCDI) และคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติ (National Commission of Supervision – NCS) เป็นกลไกหลักในการตรวจสอบและลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
จากการดำเนินนโยบายอย่างจริงจังของจีน สถิติในเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2023 มีดังนี้ จับกุมผู้ต้องหาทุจริต 1,278 ราย กู้คืนทรัพย์สินที่ถูกยักยอก 2.9 พันล้านหยวน นำตัว 62 ราย จากรายชื่อ “100 Most-Wanted Corrupt Officials” กลับมาดำเนินคดีได้ มีคดีสำคัญ เช่น Xu Guojun อดีตผู้บริหารธนาคาร ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
รัฐบาลจีนส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักการเมืองคอร์รัปชัน เจ้าหน้าที่ที่ถูกสอบสวน มักถูกดำเนินคดีทันที ไม่มีการปล่อยให้คดีเงียบหาแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เอง ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
แล้วไทยล่ะเป็นอย่างไร เราคงต้องยอมรับความจริงว่า กลไกต่อต้านทุจริตอาจไม่อ่อนแอ แต่การปฏิบัติยังดูอ่อนยวบ ทำให้ดูเหมือน ‘ลูบหน้าปะจมูก’” แม้ว่าไทยจะมี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่กลไกปราบโกงกลับมีปัญหาเรื้อรังหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย นักการเมืองระดับสูงและผู้มีอิทธิพลหลายคน มักรอดพ้นจากการดำเนินคดี หรือคดีถูกยืดเยื้อจนหมดอายุความ
ส่วนคดีใหญ่เงียบหาย หลายคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูง มักไม่ได้รับการติดตามอย่างจริงจัง ซึ่งเกิดจากการแทรกแซงทางการเมือง หน่วยงานตรวจสอบมีความสัมพันธ์กับฝ่ายการเมือง ทำให้ขาดความเป็นอิสระ ขณะที่การทุจริตฝังรากลึกในระบบราชการ มีทั้งการเรียกรับสินบนในระดับล่างไปจนถึงการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย
จีนอาจถูกมองว่าเป็นรัฐอำนาจนิยม แต่ในเรื่องการปราบปรามคอร์รัปชัน กลับทำได้ดีกว่าไทยที่มีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยเสียอีก
“ทำไมไทยไม่สามารถปราบโกงได้อย่างจีน?”
- การเมืองไทยมีอิทธิพลเหนือระบบยุติธรรม – หน่วยงานต่อต้านการทุจริตมักถูกครอบงำจากกลุ่มอำนาจ
- โครงสร้างอำนาจแบบอุปถัมภ์ – นักการเมืองและข้าราชการมักมีเครือข่ายช่วยเหลือกัน ทำให้การลงโทษไม่ทั่วถึง
- ขาดแรงกดดันจากประชาชน – แม้จะมีการเปิดโปงคดีทุจริต แต่คนส่วนใหญ่มองว่า “เป็นเรื่องปกติ”
ในทางกลับกัน จีนสามารถกวาดล้างการทุจริตได้เพราะรัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาด และไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่โกงรอดตัว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับคำถามเรื่องความโปร่งใสในการปราบปรามอยู่ด้วย
ไทยต้องกล้าเปลี่ยน ถ้าไม่อยากติดหล่ม
ขณะที่จีนชี้ให้เห็นว่า การปราบโกงต้องใช้ความเด็ดขาดและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่สร้างภาพหรือรณรงค์ ไทยจำเป็นต้องปฏิรูประบบยุติธรรมและลดการแทรกแซงทางการเมือง มิฉะนั้น คอร์รัปชันจะยังคงเป็นปัญหาที่ไม่มีวันหมดไป ประชาชนต้องไม่ยอมจำนนต่อระบบอุปถัมภ์ ต้องสร้างแรงกดดันให้มีการดำเนินคดีที่โปร่งใส
สุดท้าย คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า “ไทยปราบโกงได้หรือไม่?” แต่เป็น “ไทยกล้าปราบโกงจริงหรือเปล่า?”