รุ่นพี่ LGBTQ สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง พลังโซเชียลกดดันสู่ความยุติธรรม หรือแค่ไฟที่เผาไหม้ทุกอย่าง?
กลางดึกของวันหนึ่งที่ควรจะเป็นค่ำคืนธรรมดาในรั้วมหาวิทยาลัย กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด รุ่นน้องคนหนึ่งถูกสาดด้วยน้ำซุปร้อนจนผิวพุพอง โดยฝีมือของรุ่นพี่กลุ่ม LGBTQ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกัน ไม่ใช่แค่เจ็บกาย แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดัน ถูกบังคับให้ถอนวิชาเรียน และถูกข่มขู่รีดเงินถึง 50,000 บาท
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เงียบหายไปเหมือนอีกหลายคดี คือพลังของ โซเชียลมีเดีย
หลังโพสต์แรกถูกแชร์ออกไป ความโกรธแค้นของชาวเน็ตก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว #รุ่นพี่สาดน้ำร้อน พุ่งติดเทรนด์ มีการขุดข้อมูล เปิดโปงพฤติกรรมรุ่นพี่ กดดันมหาวิทยาลัยให้ดำเนินการ ข้อมูลมากมายถูกเผยแพร่แบบเรียลไทม์จนในที่สุด LGBTQ กว่าพันคนรวมตัวกันหน้าคอนโดของผู้ก่อเหตุ กดดันให้รับผิดชอบ
ล่าสุดรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ ได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านอินสตาแกรม โดยยอมรับผิดและพร้อมจะชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ ย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบวินัยของมหาวิทยาลัย
เมื่อโซเชียลกลายเป็นศาลเตี้ย – ดาบสองคมของโลกยุคใหม่
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าทุกวันนี้ พลังของโซเชียลมีเดียสามารถทำให้เรื่องราวที่อาจถูกปิดเงียบ กลายเป็นกระแสสังคมได้ในพริบตา มันทำให้ผู้มีอำนาจไม่สามารถเพิกเฉย และกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ในขณะเดียวกัน พลังนี้ก็เป็นดาบสองคม เมื่อโซเชียลไหลเร็วเกินไป ข้อมูลบางส่วนอาจผิดเพี้ยน การไล่ล่าทางออนไลน์ (doxxing) การรุมประณามโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และการลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาถูกโจมตี ก็เป็นอีกด้านที่น่ากลัว
หลายคนอาจบอกว่า “ก็สมควรแล้ว” แต่หากเราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ จากความยุติธรรม มันจะกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหรือเปล่า?