สถานการณ์ความขัดแย้งภายในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ปรากฏชัดอีกครั้งจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 ก.พ.68 โดยมีรายงานว่า ประธาน กสทช. คือ นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ นำทีม กสทช.อีกสองคน พยายามกดดันให้ พิรงรอง รามสูต ออกจากการประชุมบอร์ด ในวาระที่เกี่ยวข้องกับ TrueMove H โดยอ้างเหตุผลว่าพิรงรองมี “สภาพความไม่เป็นกลางอย่างร้ายแรง” จากการเป็นคู่กรณีในคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
รายงานข่าวแจ้งว่า “พิรงรอง” ได้ชี้แจงว่าบริษัทที่ฟ้องร้องเธอคือ True Digital ซึ่งไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาต และเป็น คนละนิติบุคคลกับ TrueMove H และที่สำคัญ คดียังไม่ถึงที่สุด ขณะที่ฝ่ายกฎหมายของสำนักงาน กสทช. ก็ให้ความเห็นตรงกันว่า สถานะก่อนและหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากกระบวนการพิจารณาคดียังดำเนินอยู่
ข้อกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมา
การพิจารณาว่ากรรมการคนใดขัดต่อหลักความเป็นกลางหรือไม่ จะต้องพิจารณาภายใต้ มาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งระบุว่า
• มาตรา 16(1) กรรมการสามารถ พิจารณาตัวเอง และหยุดการพิจารณาเรื่องได้หากเห็นว่าตนเองมีสภาพร้ายแรงที่อาจกระทบต่อความเป็นกลาง
• มาตรา 16(2) ในกรณีที่มี คู่กรณีคัดค้าน ว่ากรรมการมีสภาพร้ายแรง กรรมการอาจพิจารณาต่อไปได้ แต่ต้องแจ้งให้คณะกรรมการพิจารณาว่าตนเองมีอำนาจในการพิจารณาหรือไม่
ที่น่าสังเกตคือ TrueMove H เองยังไม่ได้ยื่นคัดค้านอย่างเป็นทางการ แต่เป็น ประธาน กสทช. ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเอง และดูเหมือนว่าจะมีการส่งลูกไปมาระหว่างประธานกับฝ่ายกฎหมายของสำนักงาน กสทช.
ข้อโต้แย้งของ “พิรงรอง” และการตัดสินใจ
มีรายงานว่า “พิรงรอง” ยืนยันว่าตนเองไม่มี “สภาพร้ายแรง” ตามมาตรา 16(1) จึงไม่มีเหตุให้ต้องถอนตัวออกจากการประชุม หากจะมีการคัดค้านก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 16(2) ซึ่งต้องมาจากคู่กรณีที่แท้จริง ไม่ใช่จากประธานหรือกรรมการท่านอื่นที่ไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรง ขณะที่บอร์ดก็ได้ร่วมอภิปรายอย่างกว้างขวาง และแสดงความเห็นว่า “พิรงรอง” ไม่ได้มีสภาพที่จะเข้าร่วมประชุมไม่ได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ท้ายที่สุด ประธาน กสทช. เสนอให้เข้าอนุฯ ที่ปรึกษากฎหมายของกสทช. เพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ส่วน “พิรงรอง” ประนีประนอมด้วยการยอมรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประชุม จากเปิดเผยเป็นจำกัดจำนวน ซึ่งทำให้ เธอซึ่งเข้าร่วมประชุมแบบออนไลน์ต้องออกจากการประชุมไป เนื่องจากการประชุมแบบจำกัดจำนวนมักไม่อนุญาตให้มีการเข้าร่วมทางออนไลน์
ข้อสังเกตเกี่ยวกับความขัดแย้งใน กสทช.
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งภายใน กสทช. ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นทางกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวพันกับ อำนาจและผลประโยชน์ภายในองค์กร ซึ่งวางแผนมาตั้งแต่ต้น
• ประธานและกรรมการบางส่วนพยายามผลักดันให้ “พิรงรอง”ออกจากวาระนี้ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่ขัดกับกฎหมายอย่างชัดเจน
• ฝ่ายกฎหมายของสำนักงาน กสทช. ดูเหมือนจะถูกดึงมาเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนแนวทางของประธาน
• การเปลี่ยนรูปแบบการประชุมจาก เปิดเผยเป็นจำกัดจำนวน อาจถูกมองว่าเป็นความพยายามในการลดทอนการมีส่วนร่วมของกรรมการบางคน เพื่อให้เสียงพอ
ความแตกแยกที่ชัดเจนและเดิมพันที่สูงขึ้น
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของ ความแตกแยกภายใน กสทช. และทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นอิสระและความโปร่งใสขององค์กรในการพิจารณาประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่
การที่ คดีของ “พิรงรอง” ยังไม่ถึงที่สุด และ TrueMove H ไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรง ทำให้การอ้างเหตุผลของฝ่ายที่ต้องการให้เธอออกจากการประชุมดูอ่อนน้ำหนักลง นอกจากนี้ ยังมีข้อกังขาว่า การที่ประธาน กสทช. เป็นผู้หยิบยกประเด็นขึ้นมาเอง เป็นการดำเนินการโดยชอบธรรมหรือไม่
สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้คือ การหารือทางกฎหมายของ กสทช. ว่าจะมีมติอย่างไร และการเมืองภายในองค์กรจะดำเนินไปในทิศทางใด ท่ามกลางเงาสะท้อนของอำนาจและผลประโยชน์ที่ยังคงดำเนินอยู่