รศ.ดร. ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยกับ The Publisher โดยวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า “เป็นการเมืองตะลุมบอนสู้กันแบบชุลมุน มีทั้งเรื่องอดีต 44 สส.ก้าวไกลถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหากรณีแก้ไขมาตรา 112 ฝ่ายค้านกำลังจะเปิดศึกซักฟอกไม่เกินสิ้นเดือนมีนาคมนี้ เกมในสภาฯ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปถึงการตรวจสอบสนามกอล์ฟที่เขาใหญ่ของครอบครัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล และล่าสุดการตรวจสอบปมฮั้วเลือกสว. ของดีเอสไอ แต่ยังเชื่อว่าประเด็นทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะไม่ถึงขั้นทำให้พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยแตกหักกัน“
แม้สมรภูมิเดือดขึ้นเรื่อย ๆ แต่รศ.ดร. ยุทธพร เชื่อว่า ไม่ถึงขั้นทำให้รัฐบาลระส่ำ เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดในรัฐบาล รวมถึงภูมิใจไทย พร้อมที่จะสละรัฐนาวาภายใต้การนำของเพื่อไทย เนื่องจากทุกพรรคยังไม่น่าจะมีความพร้อมที่จะลงสนามเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้จากที่แกนนำพูดเหมือนกันคือ ปักธงการเลือกตั้งไว้ที่ปี 2570 เพราะต้องเตรียมสรรพกำลังทั้งทุนและเครือข่าย อย่างไรก็ตามคาดว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าจะมีการปรับ ครม.ตามมาอย่างแน่นอนราวเดือน เมษายน-พฤษภาคม ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนทั้งเชิงกลยุทธ์และสลับตัวบุคคลในการรับผิดชอบแต่ละกระทรวง หรือแม้แต่การเจรจาเพื่อขอสลับกระทรวงระหว่างพรรค และไม่คิดว่าจะมีการปรับพรรคใดออกจากรัฐบาล
”แต่การจะดึงกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพลังงานกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระทรวงมหาดไทยภูมิใจไทยก็ดูแลมาเกือบครึ่งทางแล้ว น่าจะมีการวางตัวบุคลากร โครงข่าย เพื่อรองรับการเลือกตั้งของตัวเองไว้พอสมควร ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติยังมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ใหญ่ของพรรค แม้จะเป็นองคมนตรีแล้ว แต่ก็ยังมีชื่อในบัญชีนายกฯ ของพรรคอยู่ ทำให้พรรคเพื่อไทยน่าจะมีความเกรงใจอยู่บ้าง“
แม้หลายคนจะมองว่าการเมืองตอนนี้วุ่นวาย แต่สำหรับประชาชนเป็นโอกาสที่จะได้เห็นข้อมูลข่าวสาร เพราะจะมีการแฉข้อมูลกันไปมา เชื่อว่า การเมืองจะปรับตัวเองตามธรรมชาติ ภายใต้กลไกประชาธิปไตย โดยหลังจากนี้เกมการเมืองมีความเข้มข้น ดุเดือดมากขึ้น ภายใต้รัฐบาลผสม แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน เรื่องที่ต้องระมัดระวังคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะมีผลต่อพี่น้องประชาชนโดยตรง หากทำได้ไม่ดีจะเป็นผลสะเทือนรัฐบาลมากกว่าปัญหาภายในพรรคร่วมฯ