หลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 2.00% หลายฝ่ายอาจมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทย แต่ “ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลับเตือนว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่กำลังจะมา จากนโยบายกำแพงภาษีของ “โดนัล ทรัมป์”
ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher ที่ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร นายธีระชัย ชี้ให้เห็นว่า การลดดอกเบี้ยเป็นไปตามแนวทางของ IMF เพื่อช่วยภาคธุรกิจปรับตัว และการพิเคราะห์ของ กนง.เพื่อรับมือกับภาวะตึงตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่ได้ปรับลดตามแรงกดดันของรัฐบาลที่ต้องการให้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อหนุนการกู้เงินเพิ่มไปใช้ในโครงการประชานิยม
“กนง. ไม่ได้ยอมรัฐบาล และไม่ได้ลดดอกเบี้ยเพื่อเอาใจนโยบายการคลังที่มุ่งกู้เงินมากขึ้น” เขาย้ำว่า กนง. มีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน และคำนึงถึงเสถียรภาพของประเทศเป็นหลัก “ถ้าปล่อยให้รัฐบาลกดดันให้ลดดอกเบี้ยเอื้อให้กู้เงินง่ายขี้น แล้วนำเงินไปแจกเพื่อสร้างคะแนนนิยม แบบนี้อันตรายต่อประเทศในระยะยาว”
เมฆหมอกเศรษฐกิจมาเยือน รัฐบาลยังไม่ตื่นตัว
“กนง. มองเห็นปัญหาแล้ว แต่รัฐบาลกลับยังไม่ตระหนัก อย่าคิดว่าลดดอกเบี้ยแล้วทุกอย่างจบ รัฐบาลยังไม่มีการเตือนหรือให้คำแนะนำภาคธุรกิจเลยว่าจะรับมือกับความเสี่ยงและความผันผวนทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร ตอนนี้แบงก์ชาติทำในส่วนของเขาแล้ว แต่รัฐบาลต้องช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ระบบการเงินผูกขาดอยู่แบบนี้”
เขาเสนอให้ เปิดรับธนาคารต่างประเทศมากขึ้น กระตุ้นการแข่งขัน ปลดล็อกระบบสินเชื่อระดับภูมิภาค และหากแบงก์มีกำไรมหาศาลแต่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจต้องพิจารณา “ภาษีลาภลอย” ในบางช่วง
เศรษฐกิจต้องโตจากรากฐาน ไม่ใช่แค่ลดดอกเบี้ยหรือแจกเงิน
นายธีระชัย เน้นว่า การลดดอกเบี้ยช่วยได้แค่บางส่วน “รัฐบาลต้องหยุดใช้นโยบายประชานิยมแบบแจกเงินหวังผลคะแนนเสียง” เช่น โครงการกาสิโน หรือขุดก๊าซในพื้นที่พิพาทไทย กัมพูชา เพราะ “ผลประโยชน์ไม่แน่ว่าจะถึงมือประชาชนจริง ๆ”
“แจกเงินหมื่น ก็ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ” เขายกตัวอย่างว่า GDP ไตรมาส 4 ของปี 2567 ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผล แม้แต่ World Bank และ IMF ยังแนะนำให้เอาเงินไปใช้กับ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทักษะแรงงาน มากกว่าการแจกเงิน
“การเมืองไทยต้องเลิกคิดสั้น”: อย่ามองแต่คะแนนเสียง
“นักการเมืองคิดแต่ผลระยะสั้น ละเลยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” เพราะการวางแผนระยะยาวต้องใช้เวลา 2-3 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจไม่ถูกใจประชาชนที่อยากเห็นผลเร็ว
นายธีระชัยเสนอว่า “รัฐบาลต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าผลลัพธ์ระยะยาวจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่แจกแล้วจบ” และ “สื่อมวลชนต้องช่วยกระจายความรู้เรื่องนโยบายเศรษฐกิจให้ประชาชนสนใจมากขึ้น”
“ถ้าการเมืองไทยยังมองแต่ประโยชน์ระยะสั้น ประเทศจะเสียหายระยะยาว” เขาทิ้งท้าย