“อะไรที่แลกได้ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย”
การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน อาจดูเป็นเรื่องที่ดำเนินการไปตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่ในความเป็นจริง มันสะท้อนถึง สมดุลทางการทูตที่สั่นคลอน และ ราคาที่ประเทศไทยอาจต้องจ่าย ในสายตาของนานาชาติ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาในช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือเกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยเดินทางเยือนจีนและพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รวมถึง ปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ในประเทศไทย ซึ่งจีนให้ความสำคัญอย่างมาก จนถูกมองว่า “จีนเป็นผู้กำกับ ส่วนไทยมีหน้าที่แสดงเท่านั้น!”
การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ อาจเรียได้ว่าเป็น” จังหวะนรก “เพราะมันเกิดขึ้นในปีเดียวกับที่ไทยได้รับสถานะ “รัฐภาคีของ UNHCR” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งทำให้ไทยถูกจับตามองมากขึ้นในเรื่องของ พันธกรณีด้านผู้ลี้ภัยและสิทธิมนุษยชน
คำถามคือ นี่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการทูต หรือเป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยต้องจ่ายเพื่อความสัมพันธ์กับจีน? และ ผลกระทบต่อไทยในเวทีโลกจะเป็นอย่างไร? คุ้มค่าหรือไม่กับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล?
เมื่อจีนกำหนดเกม ไทยอยู่ตรงไหน?
จีนเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยกลับจีนมาโดยตลอด โดยอ้างว่าเป็น “พลเมืองจีนที่ลักลอบออกนอกประเทศผิดกฎหมาย” ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนมองว่า ชาวอุยกูร์เป็นชนกลุ่มน้อยที่เผชิญกับการกดขี่ทางศาสนาและวัฒนธรรมในซินเจียง
ที่ผ่านมา ประเทศอย่าง ตุรกีและมาเลเซียเลือกที่จะให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวอุยกูร์ หรือปล่อยให้เดินทางไปยังประเทศที่สาม แต่ไทยกลับเลือกที่จะส่งตัวพวกเขากลับจีน ซึ่งอาจมองได้ว่า เป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันทางการทูตจากจีนโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของอุยกูร์ เพราะมันเกิดขึ้นในช่วงที่ไทยกำลังทำงานร่วมกับจีน กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนในไทย ซึ่งรัฐบาลจีนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ การส่งตัวอุยกูร์กลับจีนอาจถูกมองว่า เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ไทยต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างที่ต้องการจากจีน แต่ประชาชนยังไม่มีโอกาสรับรู้หรือไม่? มีข้อตกลงทางการทูตที่ไม่ได้เปิดเผยหรือเปล่า?
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไทย: การทูตสองหน้าในเวทีโลก?
ไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็น “รัฐภาคีของ UNHCR” อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 2568 ซึ่งหมายความว่า ไทยต้องดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับหลักการขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยผู้ลี้ภัย หนึ่งในหลักการที่สำคัญคือ “Non-Refoulement” หรือ “หลักการไม่ส่งกลับ” ซึ่งห้ามไม่ให้ประเทศสมาชิกส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจเผชิญกับการกดขี่หรือถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย
แต่การตัดสินใจของไทยในกรณีนี้กลับ สวนทางกับหลักการดังกล่าวโดยตรง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อ เครดิตของไทยในเวทีสิทธิมนุษยชน รวมถึง การเจรจากับกลุ่มประเทศตะวันตกในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น ไทยอยู่ในจุดที่ต้อง รักษาสมดุลทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ และยุโรปมักแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนในเรื่องอุยกูร์ หมายความว่า ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากฝั่งตะวันตกว่าเลือกยืนข้างจีนมากเกินไป
สมดุลระหว่างจีน-สหรัฐ: ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญ
จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องพึ่งพา ในแง่ของ การค้า การลงทุน และความมั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และยุโรปก็เป็น ตลาดส่งออกสำคัญของไทย และเป็นหุ้นส่วนด้านเทคโนโลยีที่ไทยต้องการ
การเดินเกมเอียงไปทางจีนมากเกินไป อาจทำให้ ไทยเผชิญกับการตอบโต้ทางการทูตจากฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป เช่น การลดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหรือการลงทุน และ การถูกเพ่งเล็งด้านนโยบายสิทธิมนุษยชน
ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เคยลงโทษประเทศที่มีนโยบายละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กดดันกัมพูชาและเมียนมาในเรื่องการค้าสินค้าและสิทธิมนุษยชน หากไทยเดินไปในทิศทางเดียวกับจีนโดยไม่รักษาสมดุล เราอาจกลายเป็นเป้าหมายรายต่อไป
ตัวเลือกอื่นที่รัฐบาลไทยสามารถเลือกได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ!
หากรัฐบาลไทยต้องการรักษาสมดุลทางการทูตและหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ไทยสามารถเลือกแนวทางอื่นที่ สร้างความยืดหยุ่นและลดความขัดแย้งทางการทูต ได้ เช่น ส่งต่อชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม (Third Country Resettlement) ซึ่งไทยสามารถใช้โมเดลของ มาเลเซียและตุรกี ซึ่งเลือกที่จะ ส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่ยินดีรับพวกเขา เช่น ตุรกี ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและศาสนากับอุยกูร์ วิธีนี้ช่วยให้ไทยไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากจีนโดยตรง ในขณะเดียวกันก็รักษาภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก แม้อาจต้องเผชิญแรงกดดันทางการทูตจากจีน แต่สามารถลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ และยุโรปที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน
หรือรัฐบาลอาจตัดสินใจให้สถานะผู้ลี้ภัยชั่วคราวภายใต้การดูแลของ UNHCR เพราะไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีของ UNHCR เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 หากรัฐบาลต้องการรักษาภาพลักษณ์ ไทยสามารถให้สถานะ “ผู้ลี้ภัยชั่วคราว” แก่ชาวอุยกูร์ พร้อมเปิดโอกาสให้ UNHCR หาทางออกระยะยาว วิธีนี้ช่วยให้ไทย ไม่ต้องตัดสินใจเองในการส่งตัวกลับจีน และลดความเสี่ยงจากการถูกกล่าวหาว่าละเมิดหลัก Non-refoulement อย่างไรก็ตามทางเลือกนี้อาจถูกวิจารณ์จากจีนว่าให้ที่พักพิงแก่ “บุคคลที่ต้องการตัว” แต่ช่วยให้ไทยอยู่บนพื้นฐานกฎหมายสากล
อีกแนวทางที่รัฐบาลทำได้คือ เจรจากับจีนเพื่อให้มีการติดตามชะตากรรมของผู้ถูกส่งตัว หากไทยต้องเลือกส่งตัวกลับจีนจริง รัฐบาลสามารถเจรจากับจีนให้เปิดโอกาสให้มีการติดตามชะตากรรมของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไป วิธีนี้เป็นทางออกที่ประนีประนอมและช่วยลดแรงกดดันจากองค์กรสิทธิมนุษยชน โดยอาจขอให้มีการตรวจสอบจากองค์กรระหว่างประเทศว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ไม่ได้ถูกละเมิดสิทธิ์หลังส่งตัวกลับ
แต่ดูเหมือนว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปครั้งนี้ นอกจากไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว รัฐบาลยังทำแบบลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ทำให้ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงมากขึ้นว่า รัฐบาลยังเป็นตัวของตัวเองหรือไม่
คำถามที่รัฐบาลต้องตอบ
รัฐบาลไทยอยู่ในจุดที่ต้อง รักษาสมดุลระหว่างการตอบสนองต่อแรงกดดันจากจีน กับการป้องกันผลกระทบจากสหรัฐฯ และประชาคมโลก การตัดสินใจเช่นนี้ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ไทยจะถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ และตะวันตก ด้วยการถูกโจมตีเรื่องสิทธิมนุษยชนจาก UN และ NGO, อาจถูกระงับ GSP และถูกกีดกันจากข้อตกลงทางการค้า, ความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ อาจลดลง ไปจนถึงอาจเกิดแรงต้านภายในจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและชุมชนมุสลิมในไทย
คำถามสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องตอบคือ ไทยกำลังเดินเกมที่เป็นประโยชน์ต่ออธิปไตยของตนเอง หรือกำลังถูกกดดันให้เลือกข้างโดยมหาอำนาจ? มีทางเลือกอื่นที่รักษาผลประโยชน์ไทยได้ดีกว่านี้หรือไม่? เราจะจัดการกับแรงกดดันจากทั้งจีนและตะวันตกอย่างไร โดยไม่สูญเสียอิทธิพลของตัวเอง? เหตุใดการส่งตัวชาวอุยกูร์ถึงเกิดขึ้นหลังการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรี? อะไรคือแรงกดดันที่แท้จริงที่ทำให้ไทยเลือกตัดสินใจเช่นนี้? รัฐบาลไทยมีแผนอย่างไรในการรักษาสมดุลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในอนาคต? ไทยจะรับมือกับแรงกดดันจากนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างไร?
หากรัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เราอาจกำลังเดินเข้าสู่เกมที่ไม่ได้เป็นผู้กำหนดเงื่อนไข แต่ตกเป็นหมากในกระดานของมหาอำนาจ!