“ไม่มีการประชุม สมช. พิจารณาส่งอุยกูร์กลับจีน”
นี่คือคำพูดของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 หลังจาก กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.พรรคเป็นธรรม ออกมาเปิดเผยว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อาจพิจารณาส่งตัวอุยกูร์กลับจีน
รัฐบาล ปฏิเสธหนักแน่น ชี้นำให้สังคมเข้าใจว่า เรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง
แต่ความสับสนอลหม่านเริ่มขึ้นในช่วงกลางดึกของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ต่อเนื่องถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 มีการรายงานว่ารถปริศนาเข้าไปรับตัวอุยกูร์ออกจากที่สถานที่กัก ตม. สวนพลู ก่อนจะเริ่มปรากฏภาพการเคลื่อนย้ายอุยกูร์ไปประเทศจีนด้วยเครื่องบินเหมาลำ และการเปิดเผยของสื่อจีนหลายสำนัก จนนักข่าวไล่บี้จี้ถามผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง รวมถึงนายกฯ แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน กระทั้งพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมายอมรับว่า การส่งตัวดังกล่าวเป็นไปตามมติของสมช. มีมติและเป็น ผลพวงจากการที่นายกฯ ไปเยือนจีน สะท้อนว่ามีการทูตระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง จนอาจนำไปสู่การทูตที่เปิดเผยไม่ได้ด้วยหรือไม่?
ลับ ลวง พราง: รัฐบาลให้ข้อมูลสับสน หรือมีอะไรต้องซ่อน?
ย้อนไทม์ไลน์ข้อมูลจะพบว่า 17 มกราคม 2568: รัฐบาลปฏิเสธข่าว กัณวีร์ สืบแสง ที่ออกมาเปิดเผยว่า สมช. อาจพิจารณาส่งตัวอุยกูร์กลับจีน โดยภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ตอบโต้ทันทีว่า “รู้ได้อย่างไรว่ามีการประชุมเรื่องนี้?”
27 กุมภาพันธ์ 2568รัฐบาลยอมรับ…แต่เพราะถูกเปิดโปงก่อน
จากนั้นเมื่อความจริงถูกเปิดโปง ความลับปิดไม่มิดสื่อจีนตีข่าวอึกทึกครึกโครม รัฐบาลไทยก็นั่งไม่ติด คำชี้แจงชัดเจนแรกออกจากปากของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ยืนยันว่า สมช. มีมติส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ท่ามกลางการตั้งคำถามว่า เหตุใดการส่งตัวดำเนินการอย่างลับ ๆ ไม่มีการเปิดเผยจากรัฐบาลแม้แต่รถที่ใช้เคลื่อนย้าย ก็ไม่มีสัญลักษณ์ของต้นสังกัด รัฐบาลไทยจำใจยอมรับ…หลังจากที่จีนเปิดเผยข่าวก่อนใช่หรือไม่ แม้ในภายหลัง ภูมิธรรม จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันสวัสดิภาพชาวอุยกูร์จะได้รับการดูแลอย่างดีจากจีน และพวกเขาเดินทางไปด้วยความสมัครใจ แต่ก็ไม่สามารถลบข้อสงสัยที่ว่า “ทำไมต้องทำแบบลับ ๆ ล่อ ๆ” ได้ ในเมื่อมีหนทางโปร่งใสที่สามารถทำได้ ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นจริงต่อสังคม และนานาชาติ ว่า จีนรับประกันไร้การทรมานหรือการทำให้เกิดความอันตรายต่อชาวอุยกูร์เหล่านั้น
นานาชาติรุมประณามคือผลงานรัฐบาลเพื่อไทย
หลังส่งอุยกูร์กลับจีน ไทยก็กลายเป็นตำบลกระสุนตก ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา มาร์โก รูบิโอ รมว.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าาว ระบุว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด ต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน และต้องเผชิญกับการปองร้าย การถูกบังคับใช้แรงงานและการทรมาน”
นอกจากนี้ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ก็แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลจีนเปิดเผยสถานะและรับประกันความปลอดภัย
การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศตะวันตกเท่านั้น ไทยยังถูกตั้งคำถามด้วยว่า ในฐานะที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิก UNHRC เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ต้องปฏิบ้ติตามหลักการ ”Non-Refoulement“(ห้ามส่งกลับไปยังประเทศที่อาจเผชิญการกดขี่หรือทรมาน) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในระดับสากล แต่เรากลับส่งอุยกูร์ไปจีน ผลจากการตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้ไทยได้รับผลกระทบในเวทีสิทธิมนุษยชนระดับโลก
ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญ!
นี่ไม่ใช่ความเสี่ยงเดียวที่ไทยต้องเผชิญหลังจากนี้ เพราะอาจลามกระทบไปถึงการที่สหรัฐจะทบทวนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP)รวมถึงความเสี่ยงต่อภัยความมั่นคงและภัยก่อการร้าย เพราะเหตุการณ์นี้อาจไปกระตุ้นกลุ่มหัวรุนแรงหรือกลุ่มสนับสนุนอุยกูร์ ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างโจมตีไทย ทำให้ประเทศของเราตกเป็นเป้าหมายใหม่ของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่มีชาวมุสลิมอยู่จำนวนมาก เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออาจท้าทายก่อเหตุกลางกรุง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 กับเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บมากกว่า 120 คน
ความเสี่ยงเหล่านี้อาจลดน้อยถอยลงไปมาก เพียงแค่รัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างโปร่งใสให้ข้อมูลที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ว่าจีนรับปากอย่างเป็นทางการดูแลความปลอดภัย ไทยจะมีกระบวนการติดตามผลต่อเนื่อง ไม่ซ้ำรอยการส่งอุยกูร์ 109 คนกลับจีนในปี 2558 ซึ่งยังมีข้อครหาอยู่มากว่า คนเหล่านั้นอาจไม่ปลอดภัย แต่เพราะรัฐบาลทำทุกอย่างแบบ ลับลวงพราง ผลลบจึงตามมาทุกทิศ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงรัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่ยังทำให้รัฐบาลต้องตระหนักด้วยว่า “ความลับไม่มีในโลก” “ความจริงไม่มีทางซ่อนได้” เพราะสุดท้ายความจริงจะออกมามัดตัวเอง เหมือนที่รัฐบาลแพทองธารกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ท่ามกลางคำถามที่ยังคาใจสังคมว่า
“นี่คือการตัดสินใจที่โปร่งใส หรือเป็นการเมืองหลังม่าน?”