การเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะไร้เสถียรภาพที่เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชน แต่เป็นผลพวงที่ถูกครหาว่ามี “ดีลพิเศษ” จนเกิดการข้ามขั้ว ตามมาด้วยการบริหารเพื่อประโยชน์พวกพ้อง ส่งผลร้ายแรงต่อหลักนิติรัฐและความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
นี่คือบทสรุปที่ได้จากการสัมภาษณ์นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสส. ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” เขาชี้ให้เห็นว่า พรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ล้วนมีแผล เต็มไปด้วยการต่อรอง และเจตจำนงในเรื่องผลประโยชน์ ส่วนประชาชนถูกปล่อยให้เผชิญปัญหาไปตาม “ยถากรรม”
“ผมคิดว่าเป็นเรื่องอัปยศที่นายกฯ ไม่ได้ถูกเลือกจากคนที่มีวุฒิภาวะ แต่เป็นผลจากบารมีพ่อ บริหารประเทศมาระยะหนึ่งแล้วก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่านายกฯ ไม่มีความสามารถจะเป็นนายกฯ ได้ เลยทำให้สถานการณ์ประเทศทรุดอยู่ในเวลานี้ ทุกคนในรัฐบาลเข้ามาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่ได้เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เราได้นักการเมืองที่ไม่มีหัวใจประชาชนมาบริหารประเทศ แม้พรรคเพื่อไทยจะมีสโลแกนว่า พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน แต่ก็เป็นเพียงแค่คำขวัญเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงบริหารงานแบบปล่อยประชาชนไปตามยถากรรม”
นายสาทิตย์ ยังชี้ด้วยว่า ดีลลับระหว่างขั้วอำนาจการเมืองกำลังฉุดให้ประเทศวิกฤตหนักกว่าที่เคยเป็น ทั้งการละเลยปัญหาเศรษฐกิจ การแทรกแซงองค์กรอิสระ
รัฐบาล “ชนักติดหลัง” ปชช. “วังเวง”
“ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นชัดว่าแต่ละฝ่ายที่เป็นรัฐบาลต่างคนต่างมีแผล ทั้งเขากระโดง ชั้น 14ไปจนถึงฮั้วสว. หลักนิติรัฐ นิติธรรมถูกทำลายไปตั้งแต่เรื่องชั้น 14 คุกทิพย์แล้ว แม้แต่เรื่องฮั้วสว.ด้วย ก็กลายเป็นการแลกเปลี่ยนเพราะต่างฝ่ายต่างมีแผล แต่ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้รับการแก้ไข อาการประเทศวิกฤตมากในความเห็นผม แย่สุดคือองค์กรอิสระ เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ถูกแทรกแซงครอบงำโดยฝ่ายการเมือง ไม่สามารถเป็นหลักให้บ้านเมืองได้ เช่น กกต.มี ไม่มีเท่ากัน ยุบไปเลยก็ได้ กกต.ประเทศนี้ รวมถึง ป.ป.ช.ที่กำลังมีประเด็นถูกครหา ทุกอย่างดูวิกฤตในความมีหลักมีเกณฑ์ของประเทศที่หายไปหมด”
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข เช่น การรุกเข้ามาของจีน ในเมืองท่องเที่ยวจะมีบริษัทเถื่อนเข้ามารับงานแบบครบวงจร แต่รัฐบาลไม่เคยแม้แต่จะพูดถึง และยิ่งไม่เห็นแนวทางในการแก้ปัญหา นี่คือตัวอย่างที่ชาวบ้านต้องปล่อยไปตามยถากรรม เพราะการเมืองเป็นหลักไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อนสภาพเช่นนี้จะเกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน แต่ตอนนี้ไม่เกิด เพราะดีลลับไปทำลายสมดุลที่มีอยู่เดิม การข้ามขั้วทางการเมืองทำให้ประชาชนผิดหวังกับนักการเมือง ช็อกกับการที่การเมืองสองฝั่งจับมือกัน จนไม่รู้จะเชื่ออะไร จะอยู่ฝ่ายไหนดี แต่จะสะสมความคับข้องใจของประชาชนให้มีมากขึ้น แต่อาจยังไม่ถึงจุดระเบิด
ต่อรองเพลิน เมิน ปชช. ปล่อยตาม “ยถากรรม”
ส่วนที่จะเป็นชนวนจริง ๆ น่าจะเป็นปัญหาปากท้อง เช่น ข้าวราคาตกต่ำ แต่การเมืองไปตอบสนองไม่ได้ รวมถึงปัญหากาสิโนที่มีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วย ที่น่าจับตาคือการงุบงิบออกกฎหมายใหม่ คือร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจการเงิน ทำให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้ธนาคารกลาง เพื่อฮุบอำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย จะนำหายนะมาสู่เศรษฐกิจ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามรื้ออำนาจธนาคารกลางมาโดยตลอด ร่างกฎหมายนี้สะท้อนวิธีคิดของเพื่อไทยว่าต้องการทำแบบนี้ ซึ่งต้องดูว่าจะผ่านสภาฯ หรือไม่ โดยเนื้อหากำหนดให้รัฐบาลตั้งกรรมการฯ จากนั้นกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ ยกเว้นกฎหมายอื่น ๆ คิดดูว่าใครจะได้ประโยชน์ มีเจตจำนงดึงอำนาจออกจากแบงก์ชาติ ไม่คิดถึงประโยชน์บ้านเมืองแต่คิดถึงประโยชน์ตัวเองเป็นตัวตั้ง
รัฐบาลแพทองธาร เวอร์ชันเลวร้ายของระบอบทักษิณ!
เมื่อถามว่าในสมัยทักษิณมีการแทรกแซงทุกองคาพยพจนถูกเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ในยุคนี้จะเรียกว่าอะไร? นายสาทิตย์ กล่าวว่า ยังรู้สึกสับสนว่าจะเรียกว่าอะไร เพราะระบอบทักษิณกลับมาโดยไม่มีการปรับปรุงตัว ตรงกันข้ามพฤติกรรมของนายทักษิณมีลักษณะครอบงำการใช้อำนาจรัฐย่ำยีหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศหนักกว่าเดิม ถ้าจะให้เรียกก็น่าจะเป็น “รัฐบาลดีลลับ” ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ผลกระทบที่ร้ายแรงคือความเสื่อมศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยในระบบตัวแทน เพราะคนรู้สึกว่าพรรคการเมืองเชื่อไม่ได้ ถ้าพรรคประชาชนทำเต็มที่คนอาจคิดว่าเป็นพรรคที่พึ่งได้ เพราะตอนนี้คนไม่รู้จะพึ่งใคร มีทางออกสองทางคือ ช่างมันเถอะเลือกตั้งรับตังค์เพราะชั่วเหมือนกัน แบบนี้ประเทศหายนะแน่นอน หรืออาจมีคนลุกขึ้นมาต่อสู้แต่ก็ยากลำบากมาก อย่างที่ คปท.พยายามทำอยู่ ก็ยังหวังว่าคนจะมองเห็นและแสดงออกมากขึ้น
ฝ่ายค้านอ่อนแอเพราะดีลลับ?
ขณะที่พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็ง จนเกิดคำถามว่าเป็นเพราะมี” ดีลลับที่ฮ่องกง “หรือไม่? เพราะถ้าเทียบกับสมัยเป็นพรรคก้าวไกลตรวจสอบรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำได้ดีกว่านี้มาก จึงต้องรอดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัด เพราะถ้าฝ่ายค้านเข้มแข็งทำบทบาทของตัวเองในสภาฯ อย่างเต็มที่ ทั้งชั้น 14 เรื่องคอลเซ็นเตอร์ สถานการณ์จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าไม่ทำเต็มที่ประชาชนก็จะยิ่งหมดหวัง