เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.68) ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใหม่ในการพยุงตลาดทุนผ่านกองทุน ‘Thai ESG Extra’ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยหวังให้เป็นเครื่องมือช่วยชะลอแรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แต่สุดท้ายกลับเป็นเพียงมาตรการที่ช่วยให้ตลาดหุ้น “เขียว” ได้แค่วันเดียว ก่อนจะร่วงระเนระนาดในวันถัดมา
หุ้นเด้งแค่วันเดียว ก่อนร่วงหนักต่อ – สะท้อนอะไร?
หลังจากที่มีข่าวอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Thai ESG Extra ในวันที่ 11 มีนาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดที่ 1,187.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.19 จุด หรือ +0.87% จากวันก่อนหน้า นักลงทุนบางส่วนมีความหวังว่ามาตรการนี้อาจช่วยบรรเทาภาวะขายหุ้นที่เกิดจากแรงเทขาย LTF
แต่เพียงวันเดียวเท่านั้น (12 มีนาคม) ดัชนีกลับร่วงลงอีกครั้ง ปิดที่ 1,160.06 จุด ลดลง 27.57 จุด หรือ -2.32% โดยตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงเดิม ได้แก่
• เงินทุนต่างชาติไหลออก ต่อเนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและความกังวลเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
• ความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
• ความกังวลเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
Thai ESG Extra – มาตรการแก้ปัญหาถูกจุดหรือแค่ประคองสถานการณ์?
ย้อนกลับไปดูที่มาของ Thai ESG Extra นี่คือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเงินลงทุนจากผู้ที่ถือ LTF ซึ่งปัจจุบันมีเงินลงทุนค้างอยู่ราว 1.8 แสนล้านบาท และกำลังถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งมีแรงขายออกมาแล้วกว่า 35,000 ล้านบาท
รัฐบาลคาดหวังว่า Thai ESG Extra จะช่วยดึงเม็ดเงินเหล่านี้ให้อยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป โดยเสนอ สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่โอนจาก LTF มายังกองทุนใหม่ และให้สิทธิวงเงินลดหย่อนภาษี 300,000 บาทต่อปี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนใหม่
กองทุนใหม่ vs ปัญหาเก่า – จะซ้ำรอย LTF หรือไม่?
หากพิจารณาจากบทเรียนในอดีต กองทุน LTF เองเคยได้รับความนิยมในฐานะเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนระยะยาว แต่เมื่อครบกำหนด นักลงทุนจำนวนมากกลับเทขายหุ้นออกมาในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเผชิญภาวะผันผวน
นักวิเคราะห์มอง Thai ESG Extra อาจไม่พอช่วยตลาดหุ้น
แม้ว่ากองทุนใหม่นี้จะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่เพียงพอในการพลิกฟื้นตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจัยที่กดดันตลาดนั้น ไม่ได้มาจากแรงขาย LTF เพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น
• เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยังมีข้อกังวลเรื่องแนวโน้ม GDP ที่ชะลอตัว
• เงินทุนต่างชาติยังคงไหลออก ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ
• ตลาดหุ้นไทยยังขาดแรงจูงใจจากภาคธุรกิจ ที่ต้องการการสนับสนุนมากกว่ามาตรการภาษีเพียงอย่างเดียว
ขณะที่มีรายงานสรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. ว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index อยู่ในช่วงปรับฐาน ซึ่งลดลงกว่า 17.9 % จากระดับสูงสุดในรอบนี้ ยิ่งตอกย้ำว่า “ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลงที่ชัดเจน และนักลงทุนกำลังลดการถือครองหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากดัชนียังลดลงต่อเนื่องจนเกิน 20 % อาจเข้าสู่ตลาดหมี “Bear Market” ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ซึ่งสำรวจในช่วง 20-28 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าคาดการณ์ความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับ ‘ซบเซา’ ที่ 66.11 ซึ่งสะท้อนว่าตลาดยังคงขาดปัจจัยหนุนที่จะช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
มาตรการใหม่ช่วยได้แค่ไหน – คำถามที่ยังต้องรอคำตอบ
ในระยะสั้น Thai ESG Extra อาจช่วยพยุงตลาดหุ้นให้มีแรงซื้อเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่ยังไม่อยากขาย LTF ออกไปทันที แต่ในระยะยาว ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ากองทุนใหม่นี้จะสามารถกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่รัฐบาลต้องพิจารณาต่อไปคือ
• จะทำอย่างไรให้ตลาดหุ้นไทยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติกลับมา
• มาตรการเสริมใดที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่
• จะมีแนวทางป้องกันไม่ให้ Thai ESG Extra ซ้ำรอย LTF ในอดีตได้อย่างไร
ไทยกำลังแพ้ทั้ง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
สุดท้ายแล้ว Thai ESG Extra อาจเป็นเพียง “ยาแก้ปวดชั่วคราว” สำหรับตลาดหุ้นไทย แต่ไม่ใช่ “ยารักษาโรค” ที่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศได้อย่างแท้จริง
ถ้ายังแก้ปัญหาแบบนี้ สุดท้ายประเทศไทยอาจเผชิญกับความพ่ายแพ้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตามที่ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ The Publisher เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยที่เผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งตลาดหุ้นที่ร่วงหนัก เศรษฐกิจไร้ทิศทาง และนักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุน โดยที่มองไม่เห็นเลยว่ารัฐบาลจะสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่?
อดีตสอนเราแล้วว่า LTF ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ปัจจุบันเราเผชิญกับเศรษฐกิจซบเซา ตลาดหุ้นขาลง กับมาตรการที่ไม่ได้ผลของรัฐบาล มองระยะสั้น แต่ไม่เคยมุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อันเป็นต้นตอของปัญหา
แล้วอนาคต…คุณคิดว่าประเทศไทยจะเหลืออะไร? นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบทสรุปที่ ดร.นณริฏ เคยบอกไว้ในการให้สัมภาษณ์ครั้งเดียวกันว่า “ผมไม่เห็นอนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้การนำของรัฐบาลแพทองธาร”