ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ยังคงดิ่งต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกกองทุน Thai ESG Extra มารองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF พร้อมให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนเดิม และ 300,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนใหม่
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้กลับช่วยให้ตลาดหุ้นบวกขึ้นเพียงแค่วันเดียว ก่อนร่วงลงต่อ สะท้อนว่านโยบายดังกล่าวแม้จะช่วยชะลอเลือดไหลได้ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดทุนไทยได้ “ตลาดหุ้นไม่ได้แย่เพราะปัจจัยระยะสั้น แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง”
ดร.นณริฏ อธิบายว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า กำแพงภาษี และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังมานาน
“ธุรกิจไทยยังติดอยู่กับอุตสาหกรรมเก่า ยานยนต์สันดาป ปิโตรเคมี ขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ EV และพลังงานสะอาด แต่เราไม่ได้พัฒนาไปกับเขา”
นอกจากนี้ยังมีปัญหา “เจ้าของธุรกิจให้ความสำคัญกับราคาหุ้นมากกว่าการสร้างรายได้” ซึ่งนำไปสู่การปั่นหุ้นในระยะสั้นแทนการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน “ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยชัดเจนว่าอยู่ใน ‘ตลาดหมี’ (Bear Market)”
ดร.นณริฏ ชี้ว่า ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมากกว่า 30% จากจุดสูงสุดที่เกือบ 1,700 จุด ลงมาอยู่ที่ 1,100 จุด ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดทุนไทยอยู่ในภาวะ “ตลาดหมี” ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้ยาก หากไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจครั้งใหญ่
“ตลาดทุนไทยเปิดกว้างขึ้น คนไทยเอาเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ถ้าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ เม็ดเงินลงทุนก็จะไหลออกไปเรื่อย ๆ”
ทักษิณ กล่อมตลาดหุ้นไม่ได้?
คำพูดของคุณทักษิณ อาจไม่เป็นผล ในช่วงหลังจะเห็นแล้วว่า วิชันกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างกันมาก บอกจะทำโน่น ทำนี่ ทำนั่นเต็มไปหมด สุดท้ายทำเป็นแค่แจกเงิน ในตลาดหุ้นคำพูดไม่มีผล สิ่งที่มีผลคือผลกำไร ผลตอบแทนของตลาดหุ้นจะบอกว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ถ้ายกระดับไม่ได้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางปัจจุบันได้
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงล่มสลาย
หนี้พุ่ง-ขาดดุลหนัก รัฐบาลแจกเพลิน เมินสร้างรายได้
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร.นณริฏ เตือนคือ “รัฐบาลเหมือนกดบัตรเครดิตล่วงหน้า จ่ายแค่ขั้นต่ำ” เพราะมีการกู้เงินจำนวนมากเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างรายได้ที่ยั่งยืน
“การแจกเงินไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจ แต่เป็นการใช้เงินอนาคต กู้มาใช้ หมดแล้วก็ต้องกู้ใหม่ สุดท้ายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ไม่มีเงินจ่ายคืน ถ้าไม่มีแผนเพิ่มความสามารถในการใช้หนี้ แต่ยังกู้เพิ่มก็เหมือนเราเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตวันหนึ่งเราก็จะตายด้วยหนี้บัตรเครดิตที่เราไม่สามารถชดใช้ได้”
ปัจจุบันรัฐบาลขาดดุลต่อเนื่อง ในรัฐบาลชุดนี้จัดงบประมาณสามปี ขาดดุลแล้วกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะเข้าใกล้เพดาน 70% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
“อย่าคิดว่าประเทศอื่นเป็นหนี้ 100% แล้วเราจะขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 70% ประเทศเหล่านั้นเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ มีสินค้าและนวัตกรรมที่ขายได้ทั่วโลก แต่ไทยยังไม่มีอะไรที่เป็นจุดแข็งเลย นี่คือความน่ากังวลใจ”
อนาคตไทยจะเดินไปทางไหน? อีก 10-20 ปี อาจถึงวิกฤติหนัก
เมื่อถูกถามถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ดร.นณริฏ ระบุว่า ปัญหาหนี้สาธารณะ โครงสร้างอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกจะค่อย ๆ รัดคอไทยมากขึ้น
“ธุรกิจใหญ่สุดของไทยยังเป็น ปตท. ที่อิงกับน้ำมัน แต่ยุคน้ำมันกำลังจะหมดไป อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็ยังพึ่งพารถสันดาป ในขณะที่โลกหันไปหา EV เราจะอยู่ตรงไหน?”
นอกจากนี้ ยังเปรียบเทียบไทยกับประเทศละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา ซึ่งเคยล่มสลายเพราะใช้นโยบายประชานิยมที่เน้นแจกเงินโดยไม่สร้างรายได้
“ไทยกำลังเดินเส้นทางเดียวกับอาร์เจนตินา ถ้าไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจที่แท้จริง”
ไม่มีพระเอกขี่ม้าขาว รอรัฐบาลแก้ไม่ได้ ต้องช่วยกันหาเงินเข้าประเทศ!
สุดท้าย ดร.นณริฏ เตือนประชาชนว่า อย่าหวังว่าจะมีใครมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้
“ไม่มีพระเอกขี่ม้าขาว คนที่จะกอบกู้เศรษฐกิจไทยได้คือประชาชนทุกคน ต้องช่วยกันหารายได้เข้าประเทศ ทำให้ต่างชาติอยากมา อยากลงทุน”
แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ปัญหาจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การแจกเงินแก้ปัญหาชั่วคราวไม่ใช่คำตอบ สิ่งที่ไทยต้องการคือ “เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ใช้เงินอนาคต”