การที่รัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสสาม โดยแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนอายุ 16-20 ปี กำลังเป็นประเด็นร้อนว่า “เม็ดเงินที่อัดฉีดลงไปจะสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจริง หรือเป็นเพียงนโยบายประชานิยมที่ทำให้รัฐขาดทุนเพิ่ม?”
วัยรุ่นได้เงินหมื่น… ใช้ทำอะไร?
หากดูจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของวัยรุ่นอายุ 16-20 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงเรียนมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย เงินหมื่นที่ได้รับ อาจถูกนำไปใช้ใน 4 รูปแบบหลัก ได้แก่
- แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง? ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด
รัฐบาลหวังว่าเงินนี้จะช่วย ลดภาระครอบครัว โดยใช้จ่ายในเรื่องจำเป็น เช่น
• ค่าเล่าเรียน ค่าเทอม ค่าติว
• ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง
แต่ในความเป็นจริง วัยรุ่นจำนวนมากอาจไม่ได้ใช้เงินทั้งหมดไปกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เนื่องจากผู้ปกครองบางคนยังคงเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหลักอยู่
- ใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ – กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง
พฤติกรรมของวัยรุ่นในยุคนี้ให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์” มากกว่าสินค้า ทำให้เงินหมื่นอาจถูกใช้ไปกับ:
• การท่องเที่ยวและความบันเทิง เช่น ไปคาเฟ่ ดูคอนเสิร์ต ท่องเที่ยวในประเทศ
• ช้อปปิ้งออนไลน์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แกดเจ็ตใหม่ ๆ
• อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียม เช่น ร้านกาแฟแฟรนไชส์ ร้านอาหารแบรนด์ดัง
- ลงทุนจริงหรือแค่ลองเล่น?
วัยรุ่นบางกลุ่มอาจนำเงินไปลงทุน เช่น ซื้อหุ้น, เทรดคริปโต, ลงทุนในธุรกิจเล็ก ๆ หรือทำคอนเทนต์ออนไลน์ แต่ส่วนใหญ่ยังขาดประสบการณ์และความรู้ทางการเงิน ทำให้มีโอกาสเสียเงินมากกว่าทำกำไร
- การพนันและสิ่งมอมเมา – ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
อีกหนึ่งข้อกังวลสำคัญคือ เงินที่ไหลเข้าสู่การพนันออนไลน์และสิ่งเสพติด ปัจจุบันแพลตฟอร์มพนันออนไลน์เข้าถึงง่าย และวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยอาจมองว่า “ได้เงินเปล่า ก็ลองเสี่ยงดู” นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่เงินบางส่วนจะถูกใช้ไปกับ แอลกอฮอล์ บุหรี่ไฟฟ้า หรือสินค้าแฟชั่นที่ไม่จำเป็น อย่าบอกว่าเป็นเงินดิจิทัลเอาไปทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าไม่แน่ใจอย่างที่สุดว่า เงินดิจิทัลจะไม่ถูกเล่นแร่แปรธาตุกลายเป็นเงินสด ระหว่างการซื้อของในร้านค้า
เฟสสาม ลงทุนเท่าไหร่? คุ้มค่าจริงหรือไม่?
โครงการแจกเงินดิจิทัลเฟสสามนี้ ต้องใช้งบประมาณมหาศาล รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ที่แน่ชัด แต่หากอิงจากกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุ 16-20 ปี ซึ่งมีประมาณ 2.7 ล้านคน การแจกเงินคนละ 10,000 บาท จะใช้เงินประมาณ 27,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลก (World Bank) ได้ทำการศึกษาพบว่า การใช้มาตรการแจกเงินหมื่นช่วยกระตุ้นจีดีพีได้แค่ 0.3 % แต่มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 0.8% ของ GDP
ถ้าอ้างอิงจากตัวเลขนี้ โครงการเฟสสามที่ใช้ 27,000 ล้านบาท อาจสร้างผลตอบแทนกลับมาในระบบเศรษฐกิจเพียง 10,125 ล้านบาท ทำให้เกิดภาระทางการคลังและอาจต้องพึ่งพาการกู้เงินเพิ่ม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ: ใช้เงินอนาคต หรือสร้างหนี้เพิ่ม?
การแจกเงินในระยะสั้นอาจทำให้ การบริโภคเพิ่มขึ้น ในกลุ่มเป้าหมาย แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ผลกระทบระยะยาว
• หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้น – หากรัฐไม่มีแหล่งรายได้ใหม่มาชดเชย เงินที่แจกอาจทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่ม และผลักภาระหนี้ให้คนรุ่นใหม่ในอนาคต
• เงินเฟ้อและราคาสินค้าพุ่ง – หากเงินจำนวนมากถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบโดยไม่มีมาตรการควบคุม อาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงในระยะยาว
• ไม่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน – เงินที่แจกไม่ได้นำไปลงทุนในโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือสร้างงานใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโตอย่างมั่นคง
ทางเลือกที่ดีกว่า?
หากรัฐบาลต้องการช่วยเหลือเยาวชนและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน จะใช้เงิน 27,000 ล้านบาท ไปทำอะไรได้บ้างแทนการแจกเงินหมื่นดิจิทัล เมื่อสอบถาม ChatGPT ได้คำตอบ ดังนี้ สามารถใช้เงินไปกับการสร้างโอกาสระยะยาวให้เยาวชนวัย 16-20 ปี ใน 5 ด้านหลัก การศึกษา ทักษะอาชีพ เงินทุนธุรกิจ เทคโนโลยีและสุขภาพจิต
- 10,000 ล้าน สำหรับโครงการสนับสนุนทักษะอาชีพ เช่น แจกคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี สนับสนุนอาชีวะยุคใหม่ ฯลฯ
- 7,000 ล้าน ให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการศึกษา หรือการสร้างโอกาสฝึกงาน หรือให้ทุนสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ มีพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับธุรกิจวัยรุ่นที่ต้องการเริ่มต้น
- 5,000 ล้านบาท อินเทอร์เน็ตฟรี อุปกรณ์ไอทีเพื่อการศึกษา ให้ทุนแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา สำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลน เปิด Maker Space หรือ Co-Working Space ให้วัยรุ่นเรียนรู้ ทำงานจริง
- 3,000 ล้านบาท โครงการฝึกงานแบบได้เงินเดือน “Work & Earn” จับมือเอกชนสร้าง “Part-Time Hub”
- 2,000 ล้านบาท ตั้งคลินิกสุขภาพจิตวัยรุ่น ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เปิดโครงการป้องกันพนันออนไลน์ แอลกอฮอล์ และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงสร้างแอป TeenTalk ให้คำปรึกษาทางจิตใจฟรี
ChatGPT ยังรู้ควรใช้เงินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและเยาวชน แต่รัฐบาลแพทองธารไม่รู้!
“เงินหมื่น” ไม่ใช่ของฟรี ใช้ผิดวิธี ภาระระยะยาว
แม้วัยรุ่นที่ได้รับเงินจะใช้จ่ายตามความต้องการของตนเอง แต่ในภาพรวมของประเทศ นโยบายแจกเงินอาจกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ โดยไม่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
สุดท้าย เราควรถามตัวเองว่า แจกเงินครั้งนี้เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต หรือเป็นเพียงการผลักภาระหนี้ให้คนรุ่นต่อไป?
แจกเงินให้ใช้ครั้งเดียวอาจหมดในพริบตา แต่ถ้าให้โอกาส…มันจะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต!